ถ้าคะแนนสอบภาษาไม่ดี แต่อยากเข้ามหาวิทยาลัยในออสเตรเลีย มีวิธีอื่นอีกไหมค๊า..

เผยแพร่เมื่อ 08 เม.ย. 2015 ผู้เขียน

สวัสดีคะ.. สำหรับคำถามตามหัวข้อนี้นั้น น่าจะเป็นประเด็นที่พี่มักจะถูกถามบ่อยที่สุดเลยก็ว่าได้ ปัญหาที่เด็กไทยกลัวที่สุดก็คือการสอบภาษานี่แหละ ถ้ามีวิธีอะไรที่ไม่ต้องสอบ แต่สามารถเรียนไปเรื่อย ๆ แล้วเข้ามหาวิทยาลัยในออสเตรเลียได้เลยหล่ะ ฟังดูแล้วดูน่าจะเป็นที่สนใจไม่น้อยสำหรับคนไม่อยากสอบภาษาหรือมีปัญหาเรื่องการสอบ

 

“ถามว่า.. ทำไมต้องมีผลสอบภาษาด้วยคะ?”

คำตอบคือ เพราะในห้องเรียนไม่ได้สอนด้วยภาษาไทย ทุกวิชานั้นสอนด้วยภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นพื้นฐานด้านภาษาอังกฤษจึงสำคัญมาก จุดเริ่มต้นในการศึกษาที่ออสเตรเลียจึงต้องใช้ระดับความรู้ด้านภาษาอังกฤษเป็นเกณท์ในการเข้าเรียนต่อ โดยขึ้นอยู่ที่ว่าแต่ละคณะของสถาบันนั้น ๆ ใช้ที่ระดับเท่าไหร่ โดยอิงตามการใช้ภาษาในการเรียนเป็นหลัก เช่น ด้านการแพทย์ หรือ ด้านกฎหมาย ซึ่งใช้ภาษาในการสื่อสารสูง ก็จะมีเกณท์ที่สูงตาม เป็นต้นค่ะ

 

“แล้วมีวิธีอื่นไหม? ถ้าไม่อยากเรียนภาษาอังกฤษ.. เจอแบบทดสอบภาษาอังกฤษในวันแรก ครูบอกผลสอบมาแทบจะทรุด ถูกครูคำนวนให้ว่าต้องเรียนภาษาอีก 30 อาทิตย์ หรือแม้กระทั่งเรียนเป็นปี โห... เยอะจัง  แค่คิด ๆ ก็เบื่อจุง

คำตอบคือ มีคะ แต่ขึ้นอยู่กับแต่ละคน ยกตัวอย่างง่ายสุด.. น่าจะเป็นน้อง ๆ ที่คิดจะมาเรียนต่อปริญญาตรีที่ออสเตรเลีย ถ้าจบ ม.6 เมืองไทยมาแล้วอยากมาเรียนปริญญาตรีที่นี่ “เอาเรียนภาษาไม่เยอะนะ! แต่ความรู้ภาษาที่มีอยู่ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่ไม่อยากเรียนเยอะอะ เบื่อ…”  อย่างแรก ไม่เรียนภาษาไม่ได้คะ อย่างที่บอกเขาสอนเราด้วยภาษาอังกฤษเพราะฉะนั้นต้องมีพื้นฐานบ้าง แต่ให้ลดเป้าหมายตัวเองลงมาหน่อยนึงก่อน “เอ๊ะ...ยังไง?” 

ก็อย่างงี้... ให้ดูว่าเราตั้งใจมาเรียนปริญญาตรีทางด้านไหน? เช่น ทางบริหารธุรกิจ ทางเทคโนโลยี หรือ วิศวกรรม ซึ่งตามปกติการเข้าปริญญาตรีที่ออสเตรเลียต้องการผลสอบ IELTS อย่างต่ำ 6 ซึ่งดูแล้ว คิดว่าเราต้องเรียนเป็นปีแน่เลย ก็ให้ดูว่า.. ที่วิทยาลัยเอกชน(College) หรือ TAFE ที่ไหนที่เขามีเปิด Diploma ของตัวนั้นมั่ง เช่น เป้าเราอยากเรียนจบ Bachelor of Business เราก็ไปดูว่า ที่สถาบันไหนมีเปิด Diploma of Business มั่ง หรือคล้าย ๆ กันก็ได้ Management , Marketing  etc. ซึ่งตามปกติ คอร์สพวกนี้ต้องการผล IELTS แค่ 5.5 เท่านั้น ซึ่งต่ำกว่าทางมหาวิทยาลัยต้องการมาก... และที่สำคัญคอร์สเหล่านี้มักจะสอนในเชิงปฎิบัติเสียส่วนใหญ่ ซึ่งต่างจากมหาวิทยาลัยที่มักจะสอนในปีที่หนึ่ง กับปีที่สองเป็นวิชาพื้นฐาน ซึ่งกว่าเราจะไปสู่วิชาที่เราอยากเรียนจริง ๆ หรือวิชาเอกที่เราเลือกจริง ๆ อาจจะต้องรอไปเรียนในปีที่สามและสี่ ซึ่งหลาย ๆ คนก็มักจะผิดหวังเมื่อเข้าไปเรียนจริง ๆ แล้วมารู้ตัวว่าเลือกผิด เราไม่ได้อยากเรียนวิชานี้เลย แต่จะเลิกเรียนก็ไม่ได้ละ เพราะว่าเรียนมาตั้งสองปีแล้วนี่ สุดท้ายทนเรียนจนจบ แต่ก็ไม่ชอบเลยสักกะติ๊ด

การเรียนที่ TAFE หรือ วิทยาลัยเอกชน ในระดับ Diploma นั้น เป็นทางออกที่ดีอีกทางหนึ่งสำหรับน้อง ๆ ที่ยังไม่ทราบว่าเราชอบที่อยากเรียนสาขาวิชาชีพนั้น ๆ จริงไหม เพราะหนึ่งปีที่เราจะเรียน เราจะเข้าไปเรียนวิชาเอกของสาขาอาชีพนั้น ๆ เลย วัดกันไปเลยว่าชอบหรือไม่ขอบ ข้อดีอีกอย่างคือ ผลสอบภาษาที่จะเข้าได้ก็ไม่สูงมาก ซึ่งข้อดีที่มาต่อเนื่องกันที่ไม่ค่อยมีใครทราบก็คือ การเรียนในระดับ Diploma นั้น สามารถเป็นทางผ่านให้เราไปเรียนมหาวิทยาลัยได้ โดยไม่ต้องแสดงผลสอบภาษาอีกด้วย และยังสามารถโอนหน่วยกิตบางตัวไปได้ด้วย ซึ่งทำให้การเรียนต่อในระดับปริญญาตรีลดเวลาลง บางสาขาวิชาได้ 1 ปี แต่บางสาขาวิชาได้ถึง ปีครึ่งก็มี

ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น เพราะหลาย ๆ มหาวิทยาลัยที่นี่มักจะยอมรับว่านักศึกษาคนใดก็ตามที่เรียนจบในระดับ  Diploma ขึ้นไป และทำการเรียนการสอนด้วยภาษาอังกฤษ ความยาวของคอร์สอย่างน้อย 1 ปี ให้เท่ากับว่านักศึกษาคนนั้นได้มีระดับภาษาในระดับที่มหาวิทยาลัยยอมรับได้ เพราะฉะนั้น เงื่อนไขในการสมัครเรียนโดยที่ผู้สมัครต้องมีการยื่นผลภาษาจะถูกเอาออกคะ  และถ้าเรียน  Diploma มาตรงสาขากับคอร์สปริญญาตรีแล้วด้วยหล่ะก็ อาจจะได้รับการโอนหน่วยกิตอีกด้วย เป็นไงหล่ะ เปรี้ยวเล้ยยยย...

 

โดยสรุปก็คือ..

เช่น ถ้าเราอยากเรียน Bachelor of Business แต่ผลภาษาเราไม่พอที่ IELTS 6 แต่เราได้ 5.5 ก็ให้ลงเรียนคอร์ส Diploma of Business ที่ TAFE หรือ College ก็ได้ แล้วเรียนไปก่อน ตามปกติคอร์สนี้ใช้เวลาเรียน 1 ปี - 1.5 ปี หลังจากจบ พอเราสมัครเรียนต่อในมหาวิทยาลัย เราก็จะเข้าเรียนได้เลย เพราะผลสอบภาษาไม่ต้องยื่น เนื่องจากว่าเราเข้าเงื่อนไขจากการเรียนในวิทยาลัยที่สอนด้วยภาษาอังกฤษมาอย่างน้อย 1 ปี และยังได้โอนหน่วยกิต อย่างต่ำ 4-8 ตัว จากสาขาที่มีวิชาคล้ายกัน ซึ่งหมายถึงเราสามารถเรียนปริญญาตรีสั้นลง 1-2 เทอม เท่ากับระยะเวลา 6 เดือน - 1 ปีคะ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น คอร์ส Diploma ของเราต้องเรียนจบใน วิทยาลัยที่ทางมหาวิทยาลัยรับรองนะ  ซึ่งเราสามารถเช็คกับ วิทยาลัยนั้น ๆ ได้ ตรงที่เข้าเขียนว่า “Pathway to University” ซึ่งวิทยาลัยทุกแห่งจะมี Pathway to University ทั้งนั้น ซึ่งหมายถึงเขาได้ทำสัญญาตกลงกันระหว่างวิทยาลัยกับมหาวิทยาลัยว่า ถ้าเด็กเขาจบคอร์สนี้แล้วจะสามารถเข้าเรียนต่อในระดับปริญญาตรีคอร์สนี้ได้ แล้วได้โอนหน่วยกิตกี่ตัว

“แล้วถ้ามหาวิทยาลัยที่อยากเข้าไม่อยู่ในลิสต์หล่ะ.. เราจะเข้าได้ไหม?”  พี่ค่อนข้างจะแน่ใจว่า.. ถ้าวิทยาลัยที่เราเรียนมันไม่ไก่กาอาราเร่มากนักหล่ะก็ ส่วนใหญ่มหาวิทยาลัยจะรับคะ แต่จะโอนหน่วยกิตได้กี่ตัวนั้นขึ้นอยู่กับว่าคอร์สที่เราเรียนผ่านมาตรงกับคอร์สที่มหาวิทยาลัยเปิดสอนแค่ไหน

ดังนั้นหลาย ๆ คนอาจจะคิดว่าในการเรียนในระดับ Diploma นั้นจะทำให้เราเสียเวลาในการเรียนมากเกินไป แต่จริง ๆ แล้ว.. ไม่จริงเลย ทำให้การเรียนในมหาวิทยาลัยสั้นลงด้วยซ้ำ น้องบางคนที่พี่เคยวางแผนการเรียนให้ เขาเรียน Diploma 1 ปี พอเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัย เขาเรียนต่ออีกแค่ 2 ปีก็จบ เพราะได้รับการโอนหน่วยกิต สุดท้าย 3 ปีจบมหาวิทยาลัย เท่ากับระยะเวลาตามหลักสูตรมหาวิทยาลัยของออสเตรเลียเป๊ะ! ไม่เห็นเสียเวลาเลย แต่เพียงว่าเราต้องศึกษาให้แน่ชัดว่า Diploma นั้น ๆ เป็น ทางผ่านเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในสาขาที่เราตั้งเป้าหมายมาหรือเปล่าเท่านั้น

 

เห็นไหมคะว่า เป้าหมายมีไว้พุ่งชนก็จริง แต่ถ้ากระโดดไปไม่ถึง ก็อ้อม ๆ หน่อยก็ได้คะ แต่ให้ในที่สุดก็เข้าชนเป้าหมายที่ตั้งไว้เหมือนกัน  เรียนอย่างไรก็ได้ขอให้สนุกกับมัน ไม่ซีเรียสจนเกินไป พี่เชื่อมั่นว่าทุกคนจะทำได้และทำได้ดีด้วยคะ ขอให้สมหวังในเป้าหมายกันทุก ๆ คนนะคะ สวัสดีคะ

ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 09 เม.ย. 2015
Penny

Migration Agent Registration Number (MARN): 0317611

สอบถามข้อมูลด้านการศึกษาได้ที่.. info.edu@mabrisbane.com