สัมภาษณ์ ธนะวัฒน์ หิรัณยเลขา ผู้จัดการทั่วไปการบินไทยรัฐควีนส์แลนด์

เผยแพร่เมื่อ 21 ธ.ค. 2016 ผู้เขียน

ตลอดระยะเวลาเกือบ 6 ปี ที่พี่ แนช-ธนะวัฒน์ หิรัญญเลขา ได้มาทำงานประจำในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปการบินไทยรัฐควีนส์แลนด์ ประเทศออสเตรเลีย นอกจากงานภายในออฟฟิศของบริษัทการบินไทย สายการบินแห่งชาติของเราแล้ว พี่แนชยังมีส่วนในการช่วยเหลือทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของกิจกรรมต่าง ๆ ของชุมชนไทยในบริสเบนของเรามาโดยตลอด ซึ่งก่อนที่จะหมดวาระการทำงานในเมืองบริสเบนและย้ายไปทำงานในที่แห่งใหม่นั้น ทางทีมงาน MaBrisbane ได้รับเกียรติเข้าพูดคุยถึงประวัติส่วนตัวและการมาทำงานให้กับการบินไทย โดยพี่แนชนั้นมีมุมมองในการดำเนินชีวิตที่น่าจะเป็นแบบอย่างให้กับพวกเราได้เป็นอย่างดี

 

ชีวิตในวัยเด็กเป็นอย่างไรบ้าง?

ครอบครัวพี่แนชมีพี่น้อง 2 คน พี่แนชเป็นคนโต น้องชายอายุต่างกัน 2 ปี รับราชการเป็นตำรวจ คุณพ่อเป็นตำรวจตระเวนชายแดน คุณแม่เป็นแม่บ้านดูแลคุณพ่อ เพราะฉะนั้นตั้งแต่วัยเด็ก สิ่งที่ได้สัมผัสและใฝ่ฝันก็จะเป็นเรื่องของตำรวจ พ่อไปอยู่ชายแดนทางเหนือ ก็จะเห็นรูปพ่อมีค่าหัวถูกตั้งจากขุนส่า ซึ่งเป็นราชายาเสพติดของพม่าในอดีต เพราะว่าไปปราบปรามเค้า

พี่แนชโชคดีมีแม่นมคนหนึ่งซึ่งเค้าดูแลเราเหมือนลูกเหมือนหลานของเค้าเอง พี่แนชก็เลยจะมีมุมนึงจากคุณพ่อที่เป็น inspiration ให้เรา ว่าอยากเป็นอะไร ปลูกฝังเรื่องความรู้สึกนึกคิด ความเป็นลูกผู้ชาย และในส่วนของคุณแม่และก็แม่นมก็จะช่วยในเรื่องของการปฏิบัติตัว การเข้าสังคม การเข้าวัด ช่วยงานบ้าน

 

ความฝันในวัยเด็กกับจุดเปลี่ยนของการเริ่มต้นเส้นทางใหม่

ตั้งแต่เด็กแล้วพี่แนชฝันอยากเป็นตำรวจ จนเรียนจบ ม.6 เลยไปลองสอบตำรวจ ตอนที่เรียนมัธยมก็ไม่ได้เป็นเด็กขยันอะไร พี่แนชจบที่โรงเรียนสารวิทยาที่บางเขน เป็นเด็กที่ใช้ชีวิตวัยรุ่นเต็มที่ ไม่ได้เอาใจใส่ทางด้านการเรียนเท่าไร แต่ก็ไม่ถึงกับกะเลวกะลาดนะครับ (หัวเราะ) ตอนนั้นคุณพ่อก็ยังรับราชการอยู่ ยังคงเป็นแรงบันดาลใจอย่างมากว่าต้องเข้าตำรวจให้ได้ ใส่ชุดเท่ห์ ไปอยู่ในป่าในเขา ก็สอบตำรวจไป 2 รอบ ไม่ติด ก็เฟลนะ แต่มันก็ต้องยอมรับสภาพให้ได้ ชีวิตมันต้องเดินต่อ ไม่ได้ก็คือไม่ได้ แสดงว่าดวงเราจะไม่ได้เป็นตำรวจละ

ก็มาปรึกษาที่บ้าน คุณน้าก็ให้คำแนะนำเรื่องการเข้าเรียนในมหาลัย เลยตัดสินใจลองไปสอบมหาวิทยาลัยหอการค้า เพราะไม่ได้ไกลจากบ้าน เลือกเรียนคณะเศรษฐศาสตร์ ซึ่งก็ไม่ได้เป็นคณะที่ง่ายที่จะเรียนในสมัยนั้น เป็นการท้าทายตัวเองดี แล้วก็เป็นการเรียนทฤษฎีเอาไปปรับใช้ คิด วิเคราะห์ รวบรวมประมวลผล การวางแผน ซึ่งคิดว่าตัวเองน่าจะถนัดกับวิชาทางด้านนี้มากกว่าพวกกฎหมายที่ต้องใช้ความจำเยอะ น่าจะไปไม่รอด (หัวเราะ) ด้วยคุณน้าที่จบเศรษฐศาสตร์ช่วยให้แนวทาง และข้อมูล บวกกับความเสียใจที่ไม่ได้เป็นตำรวจ เลยตั้งใจเรียนด้านนี้ให้เต็มที่ ผ่านไป 4 ปี จบมาได้เกรด 3.2 ก็ภูมิใจในตัวเองนะ เพราะตอนที่เรียนปี 3-4 พี่แนชเลือกวิชาทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ซึ่งมีคนเรียนทั้งคณะจากทั้งหมด 400-500 คน อยู่เพียง 13 คน มันเลยเป็นอะไรที่ challenge มาก ๆ ทุกอย่างคือต้องท้าทายตัวเองตลอดเวลา ต้องทำได้ ๆ

 

จุดเริ่มต้นและการได้เข้ามาทำงานกับบริษัทการบินไทย

พอจบปริญญาตรีมา พี่แนชก็ได้ไปทำงานที่ธนาคารกสิกรไทย บังเอิญญาติ ๆ มาบอกให้ลองไปสมัครงานที่อื่น โชคดีบริษัทการบินไทยเรียกสัมภาษณ์ในแผนกที่สมัครไปคือสำรองที่นั่ง คอยรับโทรศัพท์ จองที่นั่ง ให้ข้อมูลเส้นทาง ไฟลท์ต่าง ๆ แก่ลูกค้าที่โทรเข้ามา พอได้รับเข้าทำงาน ทางคุณพ่อคุณแม่ก็ภูมิใจ ตอนนั้นเป็นปี พ.ศ. 2533 ก็เกือบ 27 ปีแล้วที่อยู่กับการบินไทย ทำแผนกสำรองที่นั่งอยู่ 5 ปี ซึ่งพี่แนชมองว่างานในส่วนนี้เป็นการให้ข้อมูลแก่ลูกค้าเป็นหลัก คือลูกค้าอยากได้อะไรเราก็จัดให้ ซึ่งไม่ได้เป็นการขาย product ก็เลยมีความรู้สึกว่างานทางด้าน sales ดูน่าสนใจดี และน่าจะได้นำความรู้ที่เราเรียนมาได้ใช้อีกเสต็ปหนึ่งด้วย พี่แนชก็ได้ไปทำ Corporate and Interline Sales Department ดูแลทางด้านหน่วยงาน corporate ทั้งหมด ซึ่งเป็นการดูแลบริษัทที่มีบัดเจทท่องเที่ยวในแต่ละปี เราจะเข้าไปดีลกับเค้า เป็นการขายให้กับธุรกิจที่มีแพลนล่วงหน้าเป็นปี ไม่ใช่ลูกค้า walk-in เข้ามา อยู่แผนกนี้ 5 ปี

20161220-tanawat-h-B747-400-landing

 

มีประสบการณ์อะไรที่ประทับใจเป็นพิเศษกับการทำงานที่การบินไทยบ้าง?

พี่แนชโชคดีตรงที่พี่แนชได้นายดีตลอด พอนายดีโอกาสก็พร้อมหมด พี่แนชได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้จัดการขายภาคกลาง ดูแลพื้นที่ภาคกลางของประเทศไทยทั้งหมด รับตำแหน่งนั้นประมาณ 2 ปีครึ่ง ในช่วงนั้นก็ได้มีโอกาสได้ไปประชุมเข้าหาผู้ใหญ่พบปะผู้คนกับนายตลอด แต่มีอยู่เหตุการณ์นึงที่พี่แนชประทับใจมาก คือตอนนั้นมีหลินฮุ่ยกับช่วงช่วง แพนด้าคู่แรกที่มาจากจีนแล้วมาอยู่ที่สวนสัตว์เชียงใหม่ ซึ่งพี่แนชคิดว่ามันน่าจะเป็นโอกาสของการบินไทย เพราะเด็ก ๆ ก็ตื่นเต้นกัน เราน่าจะโปรโมทให้เด็ก ๆ ได้มีโอกาสขึ้นไปชมหมีแพนด้ากันนะ ก็เลยคิดแพคเกจสำหรับเด็ก ๆ ขึ้น ก็สนุกได้ทำงานกับเด็ก ๆ ได้เห็นความสุข ความตื่นเต้นของเด็ก ๆ ที่ได้ขึ้นเครื่องบินแล้วก็ได้เห็นหมีแพนด้า

 

พบเจอความท้าทายในการทำงานอย่างไรบ้าง?

ด้วยประสบการณ์กับโปรเจคที่เคยทำที่เชียงใหม่ นายก็เลยให้พี่แนชไปประจำที่นั่น 2 ปีครึ่งในตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายขายภาคเหนือตอนบน  เป็นอะไรที่ challenge เราพอสมควร เพราะหนึ่งคือเราไปแทนผู้จัดการคนเก่าที่เกษียณอายุ 60 ปี พี่แนชอายุ 33-34 ต้องดูแลพนักงาน 60 คน 90% อายุมากกว่าพี่แนชหมด ไม่เฉพาะในเมืองเชียงใหม่เท่านั้น ต้องดูแลงานทางด้านแอดมินของสนามบินด้วยเกือบ 200 คน งานนี้เป็นงานก้าวสำคัญของพี่แนชสำหรับการทำงานด้านผู้จัดการฝ่ายขายเลย ได้เรียนรู้อะไรเยอะแยะ ทุกงานมันเข้ามาหาเราหมด งานฝ่ายขาย งานบริการ งานที่ต้องการการตัดสินใจในระดับผู้จัดการ ประกอบกับตอนนั้นเชียงใหม่มี activity เยอะ พืชสวนโลกอย่างนี้ ทุกคนบินไปกันหมด ช่วงนั้นการบินไทยมี 10 ไฟลท์ต่อวันก็แทบจะไม่พอ ผู้หลักผู้ใหญ่ก็ไปเยอะ โดยหน้าที่แล้วนอกจากทำงานรับผิดชอบด้านการขายการตลาด รับผิดชอบดูแลลูกค้าแล้ว ก็ต้องดูแลผู้ใหญ่อีก แต่โชคดีพี่แนชได้ทีมดี ทุกคนช่วยกัน

 

ออฟฟิศการบินไทยที่เชียงใหม่เป็นความภาคภูมิใจมาก

พี่แนชได้รับช่วงต่อการสร้างออฟฟิศใหม่ที่เชียงใหม่ ตอนที่พี่แนชเข้าไปเค้ามีแบบแพลนเรียบร้อยหมดละ พี่แนชต้องไปสร้างออฟฟิศขึ้นมาจากแพลนนั้นให้เป็นรูปเป็นร่าง งบประมาณ 64 ล้านบาท มีอีกงานนึงที่พี่แนชรู้สึกเป็นเกียรติมากคือ ได้มีโอกาสไปรับเสด็จไฟลท์ของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 10 ขณะนั้นท่านทรงประทับเป็นกัปตันบินโครงการการกุศลเส้นทางกรุงเทพฯ-เชียงใหม่

 

การทำงานในต่างประเทศครั้งแรกที่บาหลี

หลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์อย่างเต็มที่พี่แนชก็ย้ายมาบาหลี อยู่ที่นั่นเกือบ 4 ปี ก็ตื่นเต้นอีก เพราะเป็นการทำงานในต่างประเทศครั้งแรก ก็ต้องปรับชีวิตใหม่ ภาษาไทยที่เคยใช้เยอะ ๆ ก็ไม่ค่อยได้ใช้ ภาษาอังกฤษที่ไม่ค่อยได้ใช้ก็ต้องใช้เยอะขึ้น แล้วก็มีโอกาสได้เรียนรู้ภาษาอินโดอีกนิดหน่อยด้วย มีพนักงาน 14 คน เป็นคนอินโดนีเซียทั้งหมด

20161220-tanawat-h-bali

ถือว่าโชคดีมากเพราะบาหลีเป็นเมืองที่น่าอยู่มาก บาหลีเป็นเมืองที่มีวัฒนธรรมที่ชัดเจนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เหตุผลก็มาจากความเชื่อในศาสนาฮินดูของเค้า ด้วยสเตชั่นที่บาหลีเป็นเมืองท่องเที่ยว คนก็จะบินมาส่วนใหญ่ เราจึงไม่ได้เน้นเรื่องการขายเป็นหลัก เน้นไปทางเซอร์วิสมากกว่า เราโชคดีที่ได้รับความเมตตาจากกงสุลที่นั่นในการซัพพอร์ตบริษัททุกอย่าง

 

การได้มาทำงานที่บริสเบน

หลังจากบาหลีพี่แนชก็ได้ย้ายมาอยู่ที่บริสเบนเมื่อเดือน มี.ค. 2011 ดีใจมาก เกินฝันเลย เพราะนายของพี่แนชในขณะนั้นอยู่ที่ซิดนีย์ เป็นพี่ที่เคยทำงานด้วยกันมาก่อน อย่างน้อยก็ได้นายดีรู้ใจกันอยู่แล้ว การทำงานก็เน้นการขาย, วางแผนการตลาด, positioning ของ fare, เรื่องการปรับเที่ยวบิน, เรื่องการปรับที่นั่ง capacity ให้เหมาะสมกับช่วง low ช่วง high season, ดูว่าช่วงไหนเราจะเน้นตลาดไหน, ปีหน้าแพลนเราจะขยายตลาดไปที่ไหน, หรือว่าบางตลาดที่เราไม่สามารถแข่งกับคู่แข่งได้เราก็ต้องยกให้เขาไป ใช้เรื่องการวิเคราะห์ การตลาดมากขึ้น

20161220-tanawat-h-thai-australia

THAI's Network

ปี ๆ นึง นายใหญ่จะนั่งประจำอยู่ที่ซิดนีย์ จะมีการเรียกประชุมกันทุกรัฐอย่างน้อย 2 ครั้งต่อปี หลาย ๆ ครั้งก็จะรวมนิวซีแลนด์ที่โอ๊คแลนด์ (Auckland) มาด้วย ออสเตรเลียมี 4 ออฟฟิศ ซิดนีย์ เมลเบิร์น เพิร์ท และบริสเบน โดยจะพยายามนัดเปลี่ยนที่ประชุมเปลี่ยนเทิร์นกันไปเรื่อย ๆ ข้อดีก็คือทุกคนจะได้มาเห็นสภาพการตลาด สนามบินในแต่ละพื้นที่

 

มาบริสเบนครั้งแรกประทับใจอะไรบ้าง?

คนไทยที่อยู่ในบาหลีช่วงที่พี่แนชอยู่มีไม่ถึง 40 คน ก็เป็นเจ้าของร้านอาหารบ้าง รู้จักกันหมด งานใหญ่ ๆ ของคนไทยที่นั่นก็จะมีงานลอยกระทง งานสงกรานต์ งานถวายพระพรวันประสูติพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 9 วัดก็มีวัดเดียว แต่พอมาที่บริสเบนปุ๊บ มันแตกต่างอย่างสิ้นเชิง คนไทยอยู่เป็นหลักพันหรือเกือบหมื่นก็ไม่รู้ แล้ววัดใหญ่มากแบบ เฮ้ย วัดใหญ่ขนาดนี้เชียวเหรอ แล้วมาเจอท่านเจ้าคุณ พระทุกรูปก็เมตตาเอ็นดู แล้วก็มีโอกาสเจอพี่ ๆ ที่เป็นคีย์ของไทยคอมมิวนิตี้ที่นี่ ทุกคนก็น่ารักหมด สิ่งที่ดีใจก็คือบริษัทการบินไทยได้มาสนับสนุนกิจกรรมของชุมชนไทยในควีนส์แลนด์ พี่แนชว่าคนไทยก็ต้องดูแลคนไทยด้วยกันก่อนน่ะ โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่างประเทศ จริง ๆ แล้วบริษัทการบินไทยก็ขายตั๋วให้คนไทยกลับไทยเป็นหลักเหมือนกัน เพราะฉะนั้นแน่นอนเราทิ้งไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นสื่อ วิทยุ กิจกรรม วัด และชุมชน

20161220-tanawat-h-tg4

20161220-tanawat-h-tg2

20161220-tanawat-h-watthai-songkran

20161220-tanawat-h-thai-festival

 

การโยกย้ายครั้งล่าสุดกับการเตรียมพร้อมรับประสบการณ์ใหม่ที่อินเดีย

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามันมีข่าวการโยกย้ายตลอดเวลา แต่เมื่อ 2 เดือนที่แล้วก็ได้มีข่าวโยกย้ายออกมาชัดเจนว่าได้ไปมุมไบประเทศอินเดียซึ่งเป็นเมืองสำคัญ สิ่งหนึ่งที่มั่นใจได้ก็คือถ้าไม่ใช่เมืองที่สำคัญสำหรับเศรษฐกิจหรือการท่องเที่ยว บริษัทคงไม่เปิดเส้นทางบินที่นั่น พอทุกคนที่พี่แนชคุยด้วยรู้ว่าเป็นมุมไบ ทุกคนก็จะมีรีแอคชั่นว่า อินเดียเหรอ? สิ่งหนึ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนไปก็คือหาข้อมูล แต่พี่แนชบอกกับตัวเองอยู่ตลอด ไม่ว่าจะย้ายไปที่ไหนคือเราต้องปรับตัวเองให้เข้ากับสถานที่นั้นให้ได้เร็วที่สุด เพราะเราจะต้องอยู่ตรงนั้นอีก 3-4 ปี ถ้าเราไป suffer, annoyed, unhappy มันก็จะทำให้เราไม่มีความสุข โชคดีที่พี่แนชได้ข้อมูลมาจากรุ่นพี่ที่เค้าอยู่ที่มุมไบมาก่อน ทำให้มั่นใจในเรื่องของออฟฟิศและชีวิตความเป็นอยู่ เพราะว่าพี่เค้าก็เซทออฟฟิศและพนักงานไว้ดีแล้ว ที่เหลือคือต้องไปปรับความเป็นอยู่เอง

 

ภาพในความคิดของอินเดีย กับความจริงตรงกันมั้ย?

ที่บริษัทมี familiarize trip ให้ไปดูสถานที่ก่อน 2 วัน เพื่อไปดูบรรยากาศ ออฟฟิศ เมือง สนามบิน ชุมชน ที่พัก เป็นยังไง ด้วยความที่เราก็รู้จักอินเดียกันอยู่แล้วเนอะ ภาพของอินเดียเราก็จะพอเห็น พอไปเจอจริง ๆ มันก็จริงเว้ย อินเดีย (หัวเราะ) เรื่อง Slumdog Millionaire ก็มุมไบ เป็นอย่างในหนังแหละ

20161220-tanawat-h-mumbai

บริษัทก็เตรียมความพร้อมให้เราระดับนึง มีรถ คนขับรถให้ คือไม่ใช่ว่าอันตรายหรอก แต่เราจะขับไม่ได้ เพราะถนนไม่มีเลน ไฟแดงมีแต่ก็ไม่รู้มีทำไม ตำรวจก็เป่าอะไรไม่รู้ ความแออัดเบียดเสียดของรถเนี่ย ไอ้กระจกรถคันข้าง ๆ นี่แทบจะมาอยู่หน้าเรา มันเบียดกันมากอ่ะ มอไซค์แทรกไม่ได้แน่นอน เวลานั่งรถผ่านข้างทางก็มีคนจน ขอทาน เป็นเรื่องจริงที่พี่แนชจะได้ไปเห็นสัจธรรม

 

Positive thinking เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้ชิวิตเรามีความสุข

พี่แนชค่อนข้างจริงจังกับเรื่องที่พัก เพราะมันน่าจะเป็นที่ ๆ เดียวที่ entertain เราได้มากที่สุด คือเราไม่สามารถจะคาดหวังสภาพแวดล้อมข้างนอกได้เท่าไร อีกเรื่องนึงก็คือ positive thinking ในทุกสิ่งที่เห็น ได้ยิน ได้ฟัง ได้สัมผัส ได้ลิ้มรส positive  เป็นเรื่องสำคัญที่สุดในการปรับ attitude ของเราในการทำงานในการใช้ชีวิตให้อยู่ในที่นั้น ๆ ได้อย่างมีความสุข ถ้าเราไม่ทำให้เรามีความสุขแล้วใครจะมาช่วยเราทำ ใช่ปะ สิ่งหนึ่งที่เราบอกตัวเองนะ ถ้าบริษัทไม่ส่งเราไปอินเดีย เราจะได้ไปเหรอ เพราะเราไม่คิดว่าจะไปเองอยู่แล้ว แม้ว่าจะไปเที่ยวก็อาจจะไว้เป็นที่หลัง ๆ หรือไปไหว้พระตอนแก่ เพราะฉะนั้น 3-4 ปีนี้ก็ตักตวงประสบการณ์ให้มากที่สุด ถ้าเรา negative ซะก่อนแล้ว ชีวิตอีก 3-4 ปีนี่เหนื่อยเลยนะ ต้อง positive คืออินเดียอาจจะไม่ positive อย่างเดียวไง ต้อง positive positive และ positive (ฮา)

 

หมวกหลายใบต้องรู้จักเลือกใส่ อีโก้พอใช้เสร็จก็สลัดทิ้งซะ

ในการใช้ชีวิตและการทำงานทุกอย่างต้องเดินสายกลาง ตอนอยู่กับครอบครัวก็ต้องเป็นพ่อแนช พอกลับมาที่ทำงานปุ๊บ ก็ต้องเป็น GM บริษัทการบินไทย ที่เป็นเบอร์ 1 ของที่นี่ หลาย ๆ คนที่รู้จักพี่แนชเนี่ย บุคลิกของแนช กับธนะวัฒน์ที่เป็น GM จะต่างกันเลย ด้วยหมวกมันคนละใบ แต่ที่สำคัญคือต้องถอดหมวกให้ได้ บางคนยึดติดกับหมวกกับแจคเกต สิ่งที่พี่แนชบอกกับตัวเองและสอนลูกอยู่ตลอดเวลาคือ สิ่งสำคัญที่สุดในการทำงาน ในการเข้าสังคม หรือพบปะผู้คน ไม่ว่าสังคมไหนก็แล้วแต่คืออีโก้ อีโก้ต้องไม่เป็นอุปสรรค อย่างตำแหน่งพี่แนชตอนนี้ต้องใช้อีโก้ในการตัดสินใจ แต่พอหมดภาระหน้าที่ตรงนั้นปุ๊บ อีโก้ต้องหมด ไม่ใช่มีความกร่างกับการเป็น GM ไม่อย่างนั้นเราจะไม่ได้ใจจากคนที่เราเจอ พี่แนชบอกลูกว่า การที่พ่อไม่มีอีโก้เนี่ยทำให้พ่อคุยกับใครก็ได้ แล้วในที่สุดความไม่มีอีโก้ก็จะทำให้เราได้รับเกียรติจากทุกคนเอง

20161220-tanawat-h-ubosot

20161220-tanawat-h-family

ในการทำงานพี่แนชก็จะเว้นระยะห่างกับสตาฟ ไม่สามารถจะไปสนิทสนมกับใครได้มาก พอสนิทแล้วเรื่องความแฟร์ในที่ทำงานจะไม่เกิด พี่แนชจะวางตัวระดับหนึ่งเลยล่ะในที่ทำงาน ยิ่งที่ไหนคนเยอะแล้วเราไปสนิทสนมกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งก็จะทำให้เกิดการแตกแยกได้ บางทีพอสนิทกันมาก ๆ แล้วขอ favour เราก็ปฏิเสธลำบากเหมือนกันนะ ในขณะที่คนอื่นไม่ได้แล้วคนนี้ขอเข้ามาแล้วจะให้ยังไงอ่ะ ให้ด้วยเหตุผลอะไร พี่แนชบอกกับทุกคนนะว่าพี่แนชมาทำงานให้กับบริษัทการบินไทย ไม่ได้มาทำงานให้ทุกคนชื่นชมเยินยอ ไม่ได้มาสมัครเป็น Lord Mayor ของบริสเบน เพราะฉะนั้นยูมี job description ยังไง ทำงานของยูให้เต็มที่ ไม่ต้องเข้ามาอะไรกับพี่แนชเลย ยูทำงานให้ดีที่สุด หลักการทำงานของพี่แนชมีแค่สองข้อ หนึ่งคือทำประโยชน์ให้กับบริษัท สองคือเป็นธรรมกับทุกคน ปีนี้เข้าปีที่ 27 ที่พี่แนชทำอยู่การบินไทย ก็ยังรู้สึกสนุกกับการทำงานอยู่นะ ชีวิตการทำงานก็มี challenge มาเรื่อย ๆ ก็อย่างที่บอก positive แล้วอะไรมันก็ดีไปหมด

 

มีอะไรอยากฝากถึงคนไทยในควีนส์แลนด์มั้ย?

พ่อหลวงไม่เคยสอนให้เรารักพ่อหลวง พ่อหลวงสอนให้เรารักกัน ด้วยความรักด้วยความสามัคคีทุกอย่างจะสำเร็จหมด สิ่งเดียวที่อยากจะฝากให้ชุมชนไทยในบริสเบนแหละ พอทุกคนมีใจให้กันเวลาทำงานร่วมกันมันก็มีความสุขหมด ผู้นำชุมชนไทยทุกคนที่นี่มีความตั้งใจ โดยเรามีท่านเจ้าคุณเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ บริษัทการบินไทยก็ส่งเสริมกิจกรรมของชุมชนไทยตลอด บริษัทเราจะอยู่ไม่ได้หรอกถ้าไม่ได้รับการอนุเคราะห์ช่วยเหลือเกื้อกูลจากชุมชนไทยในทุกที่ ขอบคุณที่ชุมชนไทยให้ความเมตตากับบริษัทการบินไทยนะครับ ก็ยังคาดหวังว่าจะให้ความเมตตากับการบินไทยขึ้นไปเรื่อย ๆ ในอนาคต

20161220-tanawat-h-tg3

 

ทางทีมงาน MaBrisbane ต้องขอขอบคุณพี่แนชที่ได้มาแบ่งปันเรื่องราว ประสบการณ์ ข้อคิดดี ๆ สำหรับน้อง ๆ เพื่อเป็นแนวทางในการทำงานและใช้ชีวิตในต่างแดน รวมถึงความเมตตาและสนับสนุนสื่อออนไลน์อย่าง MaBrisbane เพื่อชุมชนไทยในควีนส์แลนด์อย่างเรามาโดยตลอด ขอเป็นกำลังใจให้พี่แนชในการย้ายไปประจำที่เมืองมุมไบ ทีมงานหวังว่าจะได้ฟังประสบการณ์และข้อคิดดี ๆ จากพี่แนชอีกนะคะ/ครับ

ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 16 เม.ย. 2017
MaBrisbane

Welcome to The Sunshine State