ร่วมอนุรักษ์ลิเกไทย กับ จอย ชวนชื่น

เผยแพร่เมื่อ 13 ม.ค. 2015 ผู้เขียน

หากพูดถึงคณะลิเกชื่อดังของเมืองไทยแล้ว ต้องมีชื่อ “คณะลิเกชวนชื่น” ติดอันดับต้น ๆ แน่นอน วันนี้ทีมงานมาบริสเบนได้รับเกียรติจาก “พี่จอย ชวนชื่น” มาพูดคุย แชร์ประสบการณ์เกี่ยวกับความแตกต่างในการเล่นลิเกและการเล่นตลก รวมทั้งแนวคิดการอนุรักษ์ลิเกไทย ให้คงอยู่คู่กับเมืองไทยเราต่อไป กับกระแสตอบรับในปัจจุบันนี้ ซึ่งในการสัมภาษณ์ครั้งนี้ พี่รี่ หนึ่งในทีมงานของเรา ที่ชื่นชอบการอนุรักษ์ผ้าไทยและศิลปะการแสดงของไทยอยู่แล้ว ได้มีโอกาสไปดูการแสดงลิเกของวงชวนชื่นที่วัดพระยาสุเรนทร์ กรุงเทพฯ เลยได้โอกาสสัมภาษณ์พี่จอย ชวนชื่น เพื่อเอามาฝากชาวบริสเบนให้ทราบกัน..

 

1301-chuanchyn-joyสวัสดีค่ะ พี่จอย
สวัสดีค่ะ

วันนี้ต้องขออนุญาตสัมภาษณ์พี่จอยก่อนที่จะขึ้นเล่นลิเกนิดนึงนะคะ
ได้ค่ะ

ขอถามก่อนว่า พี่จอยเคยได้มีโอกาสไปเล่นลิเกโชว์ที่เมืองนอกบ้างหรือยังคะ
เคยไปแต่เล่นตลกค่ะ ซึ่งก็ได้มีโอกาสไปเล่นโชว์หลายประเทศอยู่ แต่ถ้าเป็นลิเกพี่ยังไม่เคยไปค่ะ ซึ่งพี่คิดว่า สาเหตุที่ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าเอาลิเกไปเล่นเมืองนอก ก็เพราะว่าในการเล่นลิเกนั้น เราจะต้องมีทีมงานไปค่อนข้างเยอะ ทั้งพระเอก นางเอก ตัวโกง ผู้ร้ายและตลก ซึ่งเรียกได้ว่าต้องขนกันไปเป็นทีมถึงจะสนุกครบรสชาติ แต่ในการเล่นตลกนั้น บางทีเราไปแค่คนสองคนก็สามารถเอนเตอร์เทนคนดูได้แล้วค่ะ ซึ่งนั่นก็อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้คนที่อยู่เมืองนอกหลาย ๆ คนไม่ได้นึกถึงในการที่จะนำคณะลิเกไปเล่นน่ะคะ

แล้วความแตกต่าง ยากง่ายในการเล่นลิเกกับเล่นตลกล่ะคะ
ในการเล่นลิเกเรียกได้ว่าทุกอย่างต้องมีการเตรียมตัวการค่อนข้างเยอะ เช่น แสง สี เสียง ไฟ รวมทั้งเสื้อผ้าหน้าผมของตัวผู้เล่นลิเกเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเราเล่นลิเกติด ๆ กันหลายวันในสถานที่เดิม ๆ เช่น ในการเล่นที่งานวัด เราก็ต้องเข้าใจว่าผู้ที่มาชมนั้นส่วนมากจะเป็นผู้ชมท่านเดียวกันหรือกลุ่มเดียวกัน เราก็ต้องมีการดัดแปลงเนื้อเรื่องให้แต่ละวันให้ต่างกันออกไป ไม่เช่นนั้นแล้วคนดูก็จะรู้สึกไม่สนุกเพราะเนื้อเรื่องนั้นเหมือนเดิมซึ่งเราจะต้องมีการจดจำบทให้ได้อย่างแม่นยำ เพราะในการเล่นลิเกนั้นเป็นการเล่นสด ๆ ส่วนการเล่นตลกก็ต้องมีการรับมุขให้ทันกัน ต้องรู้ว่าจะเล่นในแนวไหนเพื่อที่เราจะได้ต่อเติมบทพูดให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน  อีกอย่างที่มีความแตกต่างกันในการเล่นลิเกกับการเล่นตลกก็คือ ในเรื่องของ “การแต่งกาย” เพราะในการเล่นตลกนั้นจะไม่ค่อยลงลึกในรายละเอียดมากเท่ากับการเล่นลิเก แต่ก็ไม่ใช่ว่าพี่จะละเลยในการแต่งตัวไปเล่นตลกนะคะ เพราะทางคุณพ่อของพี่จะคอยปลูกฝังพวกเรามาตลอดว่า “ให้แต่งตัวให้ดีทุกครั้งที่ขึ้นเวที เพราะนั่นคือการให้เกียรติคนดูค่ะ”

เรียกได้ว่าละเอียดทุกขั้นตอนกันเลยทีเดียวใช่ไหมคะ
ใช่ค่ะ เพราะในการโชว์ไม่ว่าจะเป็นลิเกหรือตลก เราต้องไม่ทำให้ผู้ชมผิดหวังในการที่จะมาดูเรา เพราะในการแสดงเราต้องแต่งตัวให้แตกต่างจากคนดู โดยเฉพาะลิเกนั้นเสื้อผ้าถือได้ว่าเป็นส่วนดึงดูดผู้ชมอย่างหนึ่งก็ว่าได้เลยค่ะ เพราเป็นงานที่ละเอียดอ่อนมากกว่าการตัดเย็บเสื้อผ้าทั่วไป ซึ่งเราจะเน้นทั้งการปักและการออกแบบให้เหมาะสมกับตัวละครผู้เล่นนั้น ๆ ค่ะ ชุดลิเกและเครื่องประดับที่เห็นนี้บางชุดก็มีราคาเป็นแสนเลยนะคะ ในการเล่นลิเกการลงทุนในการแต่งตัวค่อนข้างเยอะพอสมควรค่ะ

คู่แข่งในการเล่นลิเกเยอะไหมคะ
เยอะมากค่ะ เพราะลิเกนั้นมีทุกภาค ซึ่งแต่ละภาคก็จะเล่นแตกต่างกันและมีจุดเด่นแตกต่างกันไป อย่างเช่นคณะลิเกชวนชื่นของเรานี้คนจะรู้จักในฐานะของตลกด้วย เพราะฉะนั้นทางคณะเราก็จะเล่นในแนวค่อนข้างสนุกสนานตลก เพราะคนดูหลายๆก็รู้จักเราในฐานะที่เป็นตลอก ซึ่งเราก็พยายามสอดแทรกความเป็นทั้งลิเกและตลกผสมผสานกันไปค่ะ สำหรับคู่แข่งบางคณะบางคนก็เป็นนักร้องบ้าง แล้วก็มีมาเล่นลิเกด้วย ซึ่งก็จะมีคนแห่ไปดูกันค่อนข้างเยอะ ซึ่งเราก็เข้าใจว่าเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทางผู้จัดมีตัวเลือกมากขึ้นค่ะ

ทางคณะลิเกชวนชื่นมีกลยุทธ์ยังไง ในการทำให้ผู้ชมรู้สึกสนุกสนานหรือว่าอยากมาดูคะ
คือเราต้องมีการปรับตัวนะคะ เช่นวัยรุ่นสมัยนี้มักจะชอบอะไรที่เร็ว ๆ  ถ้าเราอยากให้น้อง ๆ เด็กวัยรุ่นรุ่นใหม่มาฟังมาดูลิเกกัน เราก็ต้องเล่นให้เร็ว ร้องเพลงให้เร็วขึ้น ไม่ใช่คอยแต่จะเอื้อนเหมือนสมัยก่อน อย่างนั้นคนดูก็หลับกันพอดี แต่เรายังคงเน้นในเรื่องของเสียงร้องที่ไพเราะอยู่ ไม่ใช่จะคิดแต่ให้พระนางแต่งตัวสวยงาม เพื่อเอาใจแม่ยกกันอย่างเดียว การเล่นลิเกก็คล้ายๆ กับการเล่นละคร เนื้อเรื่องต้องน่าสนใจ และเสียงร้องของผู้เล่นลิเกก็เป็นองค์ประกอบที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้คนสนใจดูลิเกกันมากขึ้น เพราะการเล่นลิเกนั้นเราต้องร้องกันสด ๆ ค่ะ มีการร้องในท่วงทำนองที่สูงต่ำต่างกันไป และผู้เล่นลิเกก็ต้องมีการฝึกฝนกันมาเป็นอย่างดี ต้องเรียนรู้ในเรื่องของบทกลอนต่าง ๆ ค่ะ

อยากให้เล่าถึงลิเกคณะชวนชื่นนิดหนึ่งค่ะ
คณะลิเกชวนชื่นมีมาตั้งแต่สมัยคุณพ่อของพี่เล่นเป็นพระเอก คือ”คุณพ่ออุดม ทรงแสง” หรือที่คนจะรู้จักกันดีในนามของ “พ่อดม” ซึ่งทางพ่อดมจะเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางในฐานะพระเอกลิเกมาเป็นหลายสิบปีแล้วนะคะ ต่อมาทางคณะเราก็เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ก็มีแยกเป็นไปเล่นตลกบ้างก็คือคณะ “ชวนชื่น” และก็ยังเล่นลิเกกันอยู่ค่ะ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่สืบทอดเกี่ยวกับวัฒนธรรมของที่บ้านเราเลยก็ว่าได้  ซึ่งในช่วงหลังๆนั้นทางพี่ชายของพี่คือพี่จ้ำ ชวนชื่น ก็เป็นหัวหน้าคณะแทนคุณพ่อซึ่งทางพี่จ้ำจะเล่นเป็นพระเอก ส่วนนางเอกก็จะเป็นน้องคนเล็กของบ้านคือน้องจูนค่ะ ส่วนทางพี่จอยเองนั้นก็จะมาเล่นด้วยถ้าทางผู้จัดเสนอให้พี่มา ซึ่งส่วนใหญ่ทางคณะเราก็จะคิวว่างไม่ค่อยตรงกัน พวกเราก็ต้องคอยจัดเวลาให้เหมาะสมค่ะ

1301-joy-chuanchyn

แล้วทางคุณพ่อดม ก็ยังมาเล่นด้วยอยู่บ้างหรือเปล่าคะ
คุณพ่อก็ยังคงเล่นลิเกกับพวกเราอยู่ค่ะ

กลัวลิเกจะหายไปจากสังคมไทยไหมคะ
พูดตรง ๆ พี่ก็กลัวนะ ก็ไม่แน่ใจว่าสมัยลูก  ๆ  หลาน ๆ พี่จะยังมีลิเกให้คนไทยเราได้ชมกันอยู่หรือเปล่า ซึ่งตัว พี่ก็ยังอยากให้ลิเกเรายังคงอยู่ต่อไป เพราะฉะนั้นทางลิเกชวนชื่นถึงได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยบ้างตามกระแสสังคมที่เปลี่ยนไป

ถ้ามีโอกาสอยากไปแสดงลิเกที่ต่างประเทศไหมคะ
พี่ อยากไปค่ะ เพราะพี่ถือว่าเป็นโอกาสดีที่เราจะได้โชว์ศิลปวัฒนะธรรมอันดีงามของไทยเราให้คนต่างชาติได้ดู และยังได้เป็นการไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่พี่น้องที่ชื่นชอบ “ชวนชื่น” กันอีกด้วย พี่จอยคิดว่าลิเกเป็นอะไรที่เราควรจะอนุรักษ์ให้คงอยู่คู่กับลูกหลานเราสืบต่อไปค่ะ (ยิ้มหวาน)

 

สุดท้ายนี้ทีมงาน MaBrisbane ก็ต้องขอขอบคุณพี่จอย ชวนชื่น และทีมงานลิเกชวนชื่นมา ณ ที่นี่ด้วย ทางเราหวังว่าในอนาคต คณะชวนชื่นจะมีโอกาสได้มาแสดงลิเก ให้พี่น้องชาวไทยในออสเตรเลียและบริสเบนได้ชมกันนะคะ

ติดตามพี่จอยและคณะลิเกชวนชื่นได้ที่:
instagram.com/joy_chuanchyn/
facebook.com/LikeChwnChunChow

ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 13 ม.ค. 2015
Miss Brisbane

Fashion Editor
MaBrisbane.com

 

เวปไซต์: www.facebook.com/serena.denis.1