อย่างที่เรารู้ว่าออสเตรเลียมีค่าครองชีพที่ค่อนข้างสูง เราจึงต้องหาวิธีลดค่าใช้จ่ายโดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน เพื่อน ๆ ที่ทำงานร้านอาหารก็สามารถฝากท้องไว้ที่ร้านได้ เนื่องจากร้านส่วนใหญ่ก็จะมีอาหารเลี้ยงให้พนักงาน ช่วยลดค่าอาหารไปได้บ้าง นอกเหนือจากนั้นมาดูกันว่า มีวิธีอะไรอีกบ้าง ที่สามารถรประหยัดได้อีก..
1.) ปริมาณต่อการบรรจุ - เทคนิคพื้นฐานของการซื้อของเข้าบ้าน “สินค้ายิ่งขนาดใหญ่ ยิ่งถูก” เช่น นมขวด 1 ลิตร $1.95 แต่ขวด 2 ลิตร ราคา $3.00, ทิชชู่แพ็ค 6 ม้วน $4 แต่แพ็ค 20 ม้วน $10 เป็นต้น
วิธีเปรียบเทียบ ให้สังเกตที่ป้ายราคาแบบ “Unit price”(ราคาต่อหน่วย) เช่น $1 per 1L(ราคา $1 ต่อปริมาณ 1 ลิตร) หรือ $0.50 per 100Ea(ราคา $0.50 ต่อ 100 ชิ้น) เป็นต้น หากเรารู้ขนาดที่สามารถทานหรือใช้หมด การเลือกซื้อสินค้าขนาดใหญ่ก็จะช่วยประหยัดได้เยอะ ถ้าหากมีรูมเมทด้วยแล้ว การช่วยกันแชร์ค่าอาหารและของใช้พื้นฐาน ที่มักจะซื้ออยู่เป็นประจำอยู่แล้วด้วยวิธีนี้ ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เป็นอย่างมาก และยังสามารถใช้วิธีเดียวกันกับการไปทานอาหารหรือขนมที่ร้านได้
2.) คนออสซี่ไม่นิยมทาน - คนออสซี่ชอบออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ ดังนั้นจึงไม่ค่อยชอบทานพวกเนื้อสัตว์ติดมัน ของพวกนี้จึงถูกกว่าเนื่องจากคนทานน้อย ที่เห็นชัดเจนก็จะเป็นเนื้อไก่ ส่วนอก(Breast)จะแพงกว่าเนื้อสะโพก(Thigh)หรือเนื้อสันใน(Tenderloins) เป็นต้น และยังมีพวกเครื่องในสัตว์อีกเช่นกันที่ราคาถูก เนื่องจากคนท้องถิ่น(ออสซี่)ไม่นิยมทาน ส่วนใหญ่จะเอาไว้เป็นอาหารสัตว์หรือทำน้ำสต็อค แต่คนไทยและเอเชียบางชาติรู้จักวิธีการนำมาทำอาหาร เราหาซื้อได้ที่ร้านเอเชียเป็นส่วนใหญ่ ถึงอย่างไรก็ดีควรทานแต่พอเหมาะ หากทานเยอะจะไม่ค่อยดีต่อสุขภาพ
3.) ของดีราคาไม่แพง - ตลาดขายของเอเชีย(Asian Markets) และตลาดเกษตรกร(Farmers markets) มีอยู่โดยทั่วไปในบริสเบนและออสเตรเลีย ของที่ขายจะถูกกว่าซูเปอร์มาร์เก็ต แต่ส่วนใหญ่คุณภาพอาจจะด้อยกว่า เนื่องจากเป็นของที่ตกเกรดจากที่ส่งขายในซูเปอร์มาร์เก็ต ดังนั้นหากจะซื้อของในแหล่งเหล่านี้จำเป็นเลือกเป็น ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ แบบไหนคือสดมีคุณภาพ แบบไหนคือรสชาติดี ถ้ารู้วิธีเลือกก็จะทำให้ได้ของคุณภาพดีที่ราคาไม่แพง
4.) ของสด ลดราคา - ที่ออสเตรเลียจะค่อนข้างเข้มงวดเรื่องของสด ของที่วางขายโดยส่วนใหญ่จะมีการกำหนดวันหมดอายุไว้ไม่นานนัก และจะรีบเร่งขายให้หมด ในซูเปอร์มาร์เก็ตจะมีของที่เริ่มใกล้จะหมดอายุ นำมาขายในราคาถูกกว่าราคาปกติ อาจติดป้ายว่า.. “Reduced price” หรือ “Buy 2 save more” เพื่อชักจูงให้คนซื้อ หากเราตั้งใจที่จะปรุงอาหารในวันที่ซื้อนั้นอยู่แล้ว การเลือกซื้อของกลุ่มนี้ก็ช่วยลดค่าใช้จ่ายได้ ของประเภทนี้ไม่ใช่ไม่ดี เพียงแต่ว่าเขาต้องการรีบขายเท่านั้น
5.) ปลูกเอง กินเอง - เนื่องจากผักสดที่ออสเตรเลียค่อนข้างแพง หากเป็นไปได้ถ้ามีที่ดินและอยู่ระยะยาว การปลูกผักทานเองทำให้ประหยัดค่าอาหารได้ไม่น้อย สภาพอากาศที่ออสเตรเลียก็ใกล้เคียงกับที่ไทย สามารถปลูกได้ไม่ยาก แต่ต้องดูเงื่อนไขสัญญาที่พักอาศัย ว่าเขาให้ปลูกหรือไม่ แต่โดยปกติแล้วหากปลูกในกระถางก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร เลือกผักที่ต้นไม่ใหญ่ ดูแลง่าย รากไม่ลึก ดูแลง่ายและใช้น้ำไม่เยอะก่อน อย่างเช่น กะเพรา โหระพา แมงลัก ตะไคร้ มะกรูด พริก มะเขือ สะระแหน่ ซึ่งเป็นผักที่ได้ใช้เป็นประจำ และปลูกไม่ยาก เราไม่สามารถนำพืชเข้ามาในออสเตรเลียได้ แต่สามารถหาซื้อเมล็ดพันธ์และต้นกล้าได้ที่ร้านขายของเอเชียทั่วไป
6.) ถนอมอาหารก่อนเสีย ลดของทิ้ง - ถึงแม้เราจะแพลนรายการอาหารล่วงหน้า และซื้อในปริมาณพอเหมาะแล้ว แต่ก็อาจจะมีบ้างที่มันไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ หากช่องแช่แข็งว่างก็จับมันยัดเก็บไว้ได้ แต่ถ้าไม่มี.. การแปรสภาพมันก่อนล่วงหน้าจึงเป็นวิธีที่ดีและใช้ได้ผล
มีวิธีง่าย ๆ 2 วิธี วิธีแรก ปรุงมันไปเลยทีเดียวแล้วเอามาอุ่นทานทีหลัง เป็นวิธีนี้ได้รับความนิยม เพราะไม่ต้องเสียเวลามาปรุงใหม่และประหยัดค่าแก๊ส วิธีที่สองสำหรับคนเบื่ออาหารง่าย เอาวัตถุดิบไปทำให้สุกและเก็บไว้ปรุงทีหลัง เช่น หมูบดและไก่บดก็เอาไปรวนในกระทะให้สุก ผักก็เอาไปนึ่งหรือลวก แล้วเก็บของพวกนี้ใส่กล่องไว้ปรุงอีกที
7.) เมนูโปรโมชัน - ร้านค้า ร้านอาหาร มักจะมีการจัดช่วงเวลาโปรโมชั่นอยู่ตลอด หากเราสังเกตเวลาเดินผ่านหน้าร้าน เพื่อดึงลูกค้าเข้าร้านช่วงที่คนน้อย ที่เห็นบ่อยก็จะเป็น “Cheap Tuesday” และ “Happy Hour” ดังนั้นหากเรารู้ว่าร้านไหนมีการจัดโปรฯเวลาไหน..วันอะไร.. การเลือกไปทานช่วงเวลาดังกล่าว ก็จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้ วิธีสังเกตง่าย ๆ ส่วนใหญ่ร้านอาหารที่คนแน่นช่วงเย็น มักจะมีการจัดโปรฯมื้อเที่ยง หรือ มื้อเย็นช่วงกลางสัปดาห์ซึ่งเป็นวันที่คนส่วนใหญ่ทานที่บ้าน เป็นต้น หลายคนจึงมักใช้วิธีนี้ออกไปเปลี่ยนบรรยากาศเพื่อพักผ่อนและทานอาหารนอกบ้าน โดยนอกจากจะประหยัดแล้ว คนยังไม่เยอะอีกด้วย
