แม้จะรู้ว่าเป็นทางตันแต่ก็ดีกว่าที่จะเดินต่อไปแบบเจ็บปวด

เผยแพร่เมื่อ 27 มิ.ย. 2013 ผู้เขียน
แม้จะรู้ว่าเป็นทางตันแต่ก็ดีกว่าที่จะเดินต่อไปแบบเจ็บปวด Panit Netrabukkana
มีโอกาสได้อ่านบทความของคุณหมอที่รักษาคนไข้ผู้หญิงรายหนึ่งที่เป็นมะเร็งปากมดลูกระยะกระจาย คุณหมอเล่าให้ฟังว่า

“ผมก็ไม่รู้ว่าทำถูกไหม แต่ก็รู้สึกว่าเราได้พลาดอะไรไปรึเปล่า
คือมีคนไข้ผู้หญิงรายหนึ่งอายุ 21 ปี เป็นมะเร็งปากมดลูกระยะกระจาย
โดยกระจายไปทั่วช่องท้องมาด้วยอาการซึมเศร้า สับสนอยู่ 2 วัน
สรุปว่ามะเร็งลามไปกินกระเพาะปัสสาวะและท่อไตพังหมดจนไตวายของเสียคั่ง
น้ำท่วมปอด เลือดเป็นกรดอย่างรุนแรง หายใจล้มเหลวติดเชื้อในกระแสเลือดจนช็อค
ไข้ขึ้นสูง ไม่รู้ตัว หายใจรวยรินแม่และพี่ชายเด็กสาวร้องไห้บอกให้ช่วยเต็มที่
พยายามจะให้เงินเพื่อให้ผมดูแลคนไข้เป็นพิเศษแต่ผมปฏิเสธ
เพราะผมรักษาเต็มที่อยู่แล้ว เด็กอายุน้อยยังไงก็สู้เต็มที่ โดยการรักษาประกอบไปด้วย
การให้ยาฆ่าเชื้อและยากระตุ้นความดัน ใส่ท่อและใช้เครื่องช่วยหายใจ
ปรึกษาหมอโรคไต จนกระทั่งได้ฟอกไตและใส่สายท่อปัสสาวะเทียม
ปรากฏว่า เกิดปาฎิหารย์ขึ้น การรักษาได้ผล ไตฟื้น ปัสสาวะออกดี ของเสียลดลง ปอดแห้ง
ไข้ลงจนน้องสามารถตื่นขึ้นมาได้ สื่อสารรู้เรื่องดี หอบลดลงจนเอาท่อช่วยหายใจออกได้..

panit001แต่ความดีใจก็อยู่กับผมแค่ในช่วงสั้นๆ เพราะมะเร็งกระจายเร็วเกินไปจนเราไม่ทันตั้งตัว
มะเร็งลามมาที่คอด้านซ้ายจากก้อนเท่าลูกปัดกลายเป็นส้มรูปใหญ่ๆ
ภายใน 1 สัปดาห์ที่กำลังแก้ไขภาวะวิกฤตตอนแรก
ก้อนมะเร็งเข้าประชิดหลอดลมและหลอดอาหารอย่างรวดเร็ว
จนน้องเริ่มกลืนอาหารไม่ลงและหายใจลำบาก
ผมเลยตัดสินใจที่จะเจาะคอและฉายแสงเพื่อให้ก้อนยุบ
แต่คนไข้ปฏิเสธและจะกลับบ้าน ผมคัดค้านอย่างเต็มที่ ห้ามพ่อแม่ไม่ให้เอาคนไข้กลับบ้าน
และอธิบายเหตุผลทางการแพทย์ต่างๆ ด้วยความหวังดี
แต่คนไข้ พูดกับผมสั้นๆ ด้วยน้ำเสียงอันสั่นเครือและน้ำตานองหน้าว่า

"หมอปล่อยหนูไปเถอะ หนูไม่ได้กลับบ้านมา 2 ปีแล้ว
โอกาสนี้อาจจะเป็นโอกาสสุดท้ายที่หนูจะได้กลับบ้าน
หนูรู้ดีว่าทางที่หนูกำลังจะเดินไปเป็นทางตัน
แต่มันก็ดีกว่าที่จะเดินต่อไปแบบเจ็บปวดแบบนี้"

คำสั้นสั้นๆ เพียงแค่ 2-3ประโยค กลับทำให้ผมต้องยอมจำนน
ผมบอกให้คนไข้สัญญาว่า จะกลับมา Admit ในอีก 1-2 วัน
แต่เธอไม่เคยกลับมาเลย แม้ว่าจะให้พยาบาลโทรไปหาแม่ แต่ไม่มีสัญญาณตอบรับ
ถ้าผมคัดค้าน ไม่ให้เธอออกจากโรงพยาบาลวันนั้น
เธออาจจะรอดหรืออาจจะทำให้เธอผจญกลับความเจ็บปวดมากขึ้นรึเปล่าไม่รู้?"

บทความข้างต้นสะท้อนถึงชีวิตของคนเราบางทีมันก็สั้นจนเราไม่สามารถเตรียมตัวเตรียมใจได้ทัน นอกเหนือจากการทำในสิ่งที่อยากจะทำเป็นครั้งสุดท้าย อย่างที่ผู้ป่วยหญิงรายนี้บอกกับคุณหมอว่าอยากกลับบ้าน เหมือนเป็นคำขอร้องครั้งสุดท้าย ซึ่งคุณหมอก็ไม่อาจปฏิเสธได้ จึงปล่อยให้คนไข้ทำในสิ่งที่ตัวเองคิดว่าเป็นความสุขก่อนที่จะจากโลกนี้ไปอย่างสงบ ย้อนกลับมาถึงตัวเราเช่นกันถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น สิ่งไหนคือสิ่งแรกที่เราอยากจะทำ ลองมาคิดดูว่าในปัจจุบันเราได้ละเลยสิ่งไหนที่เป็นความสุขในชีวิตไปบ้าง ณ เวลานี้เรายังมีโอกาส ก็อย่าลืมรีบลงมือทำ ก่อนที่เวลาจะพรากสิ่งเหล่านั้นไปจากเรา..

ขอบคุณบทความส่วนหนึ่งจากคุณหมอ Popsu4
และขอให้ทุกคนมีกำลังใจในการต่อสู้กับชีวิตกันต่อไปนะครับ
ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 15 ก.ย. 2014
MaBrisbane

Welcome to The Sunshine State