ชีวิตผ่านสายตา คนบนฟ้าเมืองจิงโจ้ ตอนที่ 2

เผยแพร่เมื่อ 05 ส.ค. 2013 ผู้เขียน
ชีวิตผ่านสายตา คนบนฟ้าเมืองจิงโจ้ ตอนที่ 2 Panit Netrabukkana

ก่อนติดปีก 2

ก่อนที่เราๆท่านๆจะไกล้ถึงเวลาไปเหินฟ้ากัน มีอย่างหนึ่งที่ไม่เอ่ยไม่ได้เลยในคอลัมน์เดือนนี้ นั่นก็คือขอแสดงความดีใจกับกรุงเทพมหานคร เมืองหลวงของพวกเราที่ได้รับรางวัลที่หนึ่งเมืองที่น่าท่องเที่ยวที่สุดในโลก จากการโหวตของ Travel+Leisure Magazine นิตยสารท่องเที่ยวชื่อดังที่น่าเชื่อถือของอเมริกา และรางวัลอันทรงเกียรตินี้ พวกเราก็ไม่ได้เป็นที่หนึ่งในปีแรกซะด้วยสิ เพราะนี่เป็นปีที่สามติดๆกันมาแล้ว อ่ะฮ๊าาา (นี่เราเก่งกันไปเอง หรือได้หลวงพ่อดีกันหนอ แฮ่ะๆ) ถ้าจะบอกว่า 5 เมืองที่เข้ารอบในการจัดอันดับเมืองที่น่าท่องเที่ยวมากที่สุด เป็นเมืองในความฝันของคนไทยหลายๆ คนทีเดียวก็ว่าได้ (นัยว่าใครได้เคยไปมาแล้วนี่จะดูดี มีฐานะในสายตาชาวบ้านทันที ฮ่ะๆๆๆ) แต่มุขมีฐานะเพราะไปท่องยุโรปมาแล้วนี่เผลอๆ ใช้ไม่ได้อีกต่อไป ต่อจากนี้พวกยุโรปต้องมาพึ่งใบบุญความเท่ห์ของเราแทน นัยว่า "ฝรั่งตาน้ำข้าวทั้งหลายเอ๋ย พวกนายอ่ะ ถ้าอยากอินเทรนด์ ต้องนี่เล้ย Bangkok! เท่านั้น ไม่งั้น เชยสะบัด!" เมืองเท่ห์ๆ ของคนหลายๆ คนสุดท้ายแล้วก็ต้องมาแพ้กรุงเทพมหานครของเรา คริคริ (อิชั้นแอบน้ำตาซึม เพราะความสงสาร แต่อดยิ้มมุมปากไม่ได้ในเวลาเดียวกัน ฮี่ๆๆ)  มีเมืองไรกันมั่ง ขอบอกว่าถ้ารู้แล้ว พวกเราจะต้องอ้าปากค้าง แล้วพึมพัมในใจ ว่าเหวอๆ 2 ที และ ว๊าวๆๆ อีก 3 ที! ซึ่งเมืองที่ได้อันดับที่สองตามเรามาติดๆก็คือ Florence, ประเทศอิตาลี (ใครเพิ่งจะซื้อตั๋วไปอิตาลี รีบเอาไปคืนด่วน! แล้วไปซื้อตั๋ว BTS ท่องเมืองหลวงของเรากันแทนกันดีกว่า) แล้วก็ตามมาด้วย Istanbul, Cape town และซิดนีย์ Ah hah! โอเปร่า เฮ๊าส์ อันแสนโด่งดัง สุดท้ายแล้วก็ต้องมาพ่ายวัดพระแก้วของพวกเรานี่เอง!

เอาหล่ะ อีกรอบที่อิชั้นต้องเอามือซ้ายตะปบมือขวาของตัวเองไว้ ให้หยุดพิมพ์นอกเรื่องซักที เพราะนี่ก็ปาเข้าไปกว่าครึ่งหน้าของ  Mabrisbane เค้าให้แล้ว และก็ยังไม่ได้เริ่มเรื่องที่ควรจะคุยกันวันนี้เลย นั่นก็คือแอร์ๆ ที่น่าสนใจของเรา เดือนนี้เราสัญญาว่าเราจะมาเปิดเผยเคล็ดลับที่น่าสนใจในการเข้ามาทำอาชีพนี้ว่าต้องมีคุณวุฒิฯ บุคลิคลักษณะนิสัย ต้องไปในแนวไหนถึงจะถูกใจท่านสายการบินทั้งหลาย ก่อนอื่นเลยส่วนใหญ่นี่ คุณวุฒิต้องระดับ College ขึ้นไป (ถ้าสมัครที่ออสฯนะ แต่ถ้าเป็นพี่ไทย รู้สึกว่าจะเอาปริญญาตรีนะคะ ใช่ไม๊ ) เคยเจอมามากมายเหมือนกันที่จบโทมาเลยแล้วมาสมัครเป็นแอร์ แล้วก็ได้งานซะด้วยสิ พวกนี้นี่แหละที่สร้างความกดดันให้ผู้สมัครคนอื่นๆ อย่างไม่น่าให้อภัย เพราะกลายเป็นว่า วุฒิการศึกษาของผู้สมัครนั้น ยิ่งสูงปริ๊ดเท่าไหร่ก็ยิ่งมีโอกาสเท่านั้น ซึ่งจริงๆแล้วไม่จำเป็นเลย เคยมีโอกาสไปถามผู้ใหญ่ในสายการบินไทยแห่งหนึ่งว่า คนจบโท นั้นมีโอกาสได้ทำงานสูงกว่าคนจบปริญญาตรีรึเปล่า ในสายงานแอร์ ท่านผู้นั้นตอบว่า อ๊ะแน่นอนสิ ความรู้ดีกว่า ภาษาอังกฤษก็ดีกว่า อ๊ะโอเค เรื่องความรู้ไม่เถียงอาจจะดีกว่า (แต่ก็ไม่เกี่ยวกับงานแอร์อยู่ดี เพราะคุณเข้าไปแล้ว เค้าก็จับคุณทุกคนเทรนใหม่ เริ่มความรู้ใหม่ๆเกี่ยวกับเครื่องบิน ฯลฯ พร้อมๆกันอยู่ดี) แต่เรื่องภาษาดีกว่านี่ขอเถียงขาดใจ จากประสบการณ์ 2 ทศวรรษ ที่อยู่ในวงการนี้มา รู้จักคนก็ไม่น้อย ขอนั่งยันนอนยันรับประกันอีก 3 ปีเลยว่า ภาษาไม่แตกต่างอย่างแน่นอน ( ถ้าไม่ได้ไปเรียนโทที่เมืองนอก หรือเรียนที่เมืองไทยแต่ฝั่งอินเตอร์นะ) ความรู้ด้านการเขียนอาจจะดีกว่า เพราะอย่างที่รู้กันรายงานหนึ่งตัวนั้น นักศึกษาต้องเขียนกันหูดับตับไหม้ เรียกได้ว่าต้องพรรณนากันลิงหลับ (เคยแอบนึกสงสัยในใจว่าท่านอาจารย์ทั้งหลายที่ต้องตรวจรายงานของนักศึกษาทั้งหมดนั้นใช้เวลากี่ชาติถึงจะอ่านจบครบทุกคน  และจะมีไม๊ที่ตรวจไปดูซีรีย์เกาหลีไป แถมครึ่งหลับครึ่งตื่นมึนๆ มาเลย เพราะ 1 รายงานกะ 1 ซีรีย์เกาหลี น่าจะใช้เวลาดูนานพอๆกัน!) โอเค นั่นคือเรื่องการเขียน แต่พอมาพูดถึงเรื่องพูดเรื่องฟัง ยังไงเรียนโทก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้นเลย แล้วทำงานบนเครื่องน่ะมันไม่ได้มานั่งเขียนบทความให้ผู้โดยสารอ่านอยู่แล้ว เม้าท์มอยกันล้วนๆ เน้นพูดเน้นฟังเป็นหลัก เพราะฉะนั้นคุณวุฒิที่สายการบินออสซี่ก็คืออย่างต่ำ College นั่นเอง ถึงจบโทมา ถ้าสมัครงานที่นี่ ก็ไม่ได้ช่วยอะไรให้โอกาสได้งานของคุณดีขึ้น (แนะนำให้กลับไปสมัครที่เมืองไทยแทน ได้งานแน่ๆแต่ค่าแรงต่ำกว่า แถมต้องมานั่งทนกับระบบ "Seniority" อันทรงเกียรติของบ้านเรา เลือกเอา!)

แต่คุณวุฒิอีก 2 อย่างที่คุณต้องมีก่อนสมัครแอร์ที่นี่ก็คือ Senior First Aid และ RSA (Responsible Service of Alcohol) ที่คุณต้องควักกระเป๋าจ่ายเองก่อนเลย (ถ้าไม่ได้งานก็ต้องถือว่าจ่ายให้ออสซี่ไปฟรีๆ) อันนี้ต่างจากเมืองไทย เพราะ 2 คอร์สนี้ที่เมืองไทย คุณจะได้เรียนฟรีๆกับสายการบินที่คุณทำงานด้วยเมื่อเค้ารับคุณเข้าไปแล้ว และคนที่สอนคุณส่วนใหญ่ก็รุ่นพี่ หรือว่าคนในบริษัทนั่นแหละ แต่ที่ออสซี่นี่เค้าถือว่า 2 เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ คนที่สอนได้ต้องเป็นผู้ที่ Qualified แล้วเท่านั้น ไม่ใช่ใครก็มาสอนกันเองได้ เพราะงั้นก็ต้องไปจ่ายเงินเรียนเอาเองก่อนสมัครมาเลย (ถ้าไม่มี 2 ใบประกาศฯนี้ เค้าไม่อนุญาติให้สมัครตั้งแต่แน่นอน) ทั้ง 2 คอร์สนี้ สามารถสมัครออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ของบริษัทที่รับสอนโดยตรงได้เลย Google เอาเลย  Search ชื่อคอร์ส และ Area แถวบ้านที่อยากเรียนลงไป เดี๋ยวก็โผล่มาให้เลือกเพียบ ทั้ง 2 คอร์สนี้รวมๆ กันก็ไม่ควรจะจ่ายเกิน $150 เพราะคอร์สหนึ่งน่าจะตก 60-70 ประมาณนั้น เลือกอันที่ถูกที่สุดละกัน เพราะสุดท้าย ในใบประกาศฯก็เขียนเหมือนกัน!

หลังจากได้ประกาศฯ 2 ตัวนั้นมาแล้ว ก็ต้องมานั่งเขียนจดหมายสมัครงานกันล่ะ ปกติแล้วนั้นงานพวกนี้ต้องสมัครผ่านเว็บไซต์ของสายการบินนั้นๆ หรือถ้าสายการบินใดใช้ Recruitment Agency ในการช่วยรับสมัครพนักงานใหม่ ทางเวปไซด์ของสายการบินก็จะมี Link ไว้ให้เราคลิ๊กไปถึงอยู่ดี สิ่งที่เราต้องส่งไปสมัครงานคือ จดหมายสมัครงาน (Cover Letter) และ  ประวัติการทำงาน (Resume) ไม่ว่าจะสมัครงานอะไรก็ตามเดี๋ยวนี้จำเป็นที่จะต้องมีทั้งสองอย่างนี้เสมอแล้ว สิ่งที่หลายๆ คนทำพลาดในการเขียนจดหมายสมัครงาน หรือประวัติการทำงานนั่นก็คือ การพร่ำเพ้อจนเกินพอดี นัยว่า "ชั้นจะต้องบอกทุกซอกทุกมุมในชีวิตของชั้นตั้งแต่เกิดจนถึงบัดเดี๋ยวนี้ให้พวกแกรู้กันไปเลยทีเดียว ฮ่ะ ฮ่า" หยุดเลย ไม่ต้องมากความขนาดนั้นเลยพี่น้องชาวไทย จดหมายสมัครงานนี่ ไม่ควรเกิน 1 หน้า A4 ส่วน resume นี่ เกิน หน้าครึ่ง A4 นี่เค้าก็ขี้เกียจอ่านกันแล้ว ทั้ง 2 เอกสารนี่ จำไว้คำเดียวเลยว่าอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับ Nature ของงานที่สมัคร ไม่ต้องพิมพ์ลงไปให้เปลืองหมึกเลย ยกตัวอย่าง ถ้าอยากสมัครงานขาย แต่ตัวเองเคยทำงานเลี้ยงเด็กมาก่อน ก็ไม่ต้องเอ่ยไปให้เสียเวลา หรือถ้าอยากสมัครงานแอร์ แต่เคยเป็นนักบัญชีมาก่อน ก็ลืมอดีตนั้นไปเลย เราต้องคิดเอาเองเลยว่างานนั้นๆ เค้าต้องการคนแบบไหน ประสบการณ์อะไร อย่างงานแอร์นี่ก็ค่อนข้างไปทาง Hospitality, Team work skill และ Problems Solving skill ถ้าเรามีคุณสมบัติ หรือ ประสบการณ์การทำงานที่เกี่ยวกับทักษะที่กล่าวมานี้ อย่างใดอย่างหนึ่ง (หรือทุกอย่างรวมกันได้ก็ยิ่งดี) เราก็เขียนลงไป แล้วบอกรายละเอียดสั้นๆลงไปด้วยว่าในเชิงปฏิบัติแล้วเราต้องทำอะไรบ้าง สั้นๆซัก 2-3 ข้อ  (ขอย้ำ "สั้นๆ") เพราะถ้าเราเริ่มเยิ่นเย้อเมื่อไหร่ เค้าจะเริ่มคิดแล้วว่าเราเป็นพวก สร้างภาพ แล้วเค้าก็จะเริ่มมีอาการอ่านไปหาวไป แล้วขอบอกเลยว่าจดหมายสมัครงานที่นี่ ห้ามติดรูปเราลงไปเป็นอันขาด (ไม่เหมือนของไทยเราเน๊อะ แฮ่ะๆ) เพราะมันจะโชว์ Attitude คุณทันทีว่าคุณเป็นพวก Discrimination เน้นภาพลักษณ์ แต่ไม่เน้นคุณภาพ ซึ่งจะขัดกับวัฒนธรรมของออสซี่ที่เรียกว่า Fairgo หรื Equal Oppertunity โดยสิ้นเชิง แล้วเค้าจะยัดจดหมายสมัครงานของคุณลงในถังขยะทันที เอาหล่ะเดือนหน้าเราจะมาคุยกันถึงเรื่องต้องทำตัวยังไงเวลาสัมภาษณ์งานในแบบกลุ่มและแบบเดี่ยวกันตัวต่อตัว Hi-Light และความตื่นเต้นทั้งหลายมันจะมารวมตัวกันอยู่ในช่วงนี้แหละ ถ้าจดหมายสมัครงานของคุณโชคดีเข้าตากรรมการนะ ไม่ถึงอาทิตย์ เค้าจะโทรหาคุณทันทีเพื่อที่จะเรียกคุณมาสัมภาษณ์งานเพื่อที่จะเห็นหน้าค่าตา และบุคลิกของคุณแบบตัวเป็นๆ อาจจะเป็นแบบกลุ่มก่อน แล้วตามด้วยแบบเดี่ยว หรือถ้าเค้าชอบคุณจริงๆ คุณอาจจะเจอกับหัวหน้าฝ่ายบุคคลแบบเดี่ยวๆ ทันทีเลยก็เป็นได้ ถ้าเป็นอย่างหลังนี่ คุณก็มั่นใจได้เลยว่าโอกาสที่คุณจะได้งานนี้มีเกิน 80% ไปแล้ว ที่เหลือก็แค่ต้องบริหารสเน่ห์ และโชว์ความมั่นใจ (ที่มีเหลืออยู่อย่างสั่นคลอน ฮา......)  ครั้งหน้า เราจะมาคุยกันเรื่องบริหารสเน่ห์อย่างไรให้เข้าตากรรมการในการสัมภาษณ์ตัวต่อตัว ส่วนคนที่ถูกเรียกให้ต้องมาสัมภาษณ์แบบกลุ่มก่อน (ซึ่งเดี๋ยวนี้ องค์กรใหญ่ๆ ในออสซี่ก็จะเรียกคุณมาสัมภาษณ์แบบกลุ่มก่อนทั้งนั้น) ก็ไม่ต้องน้อยใจ เล่มหน้า มีทีเด็ด และเทคนิคเร้าใจมานำเสนอให้อย่างแน่นอน อดใจรอ แล้วเจอกันนะจ๊ะ บ๊ายบาย

ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 15 ก.ย. 2014
Ying Nawan

ying.nawan@facebook.com