สั่งพิมพ์หน้านี้

9 สิ่งที่บริสเบนแตกต่าง ไม่เหมือนเมืองไหน

เผยแพร่เมื่อ 02 พ.ย. 2021 ผู้เขียน

      แม้ว่าออสเตรเลีย จะเป็นประเทศที่มีขนาดใหญ่กว่าประเทศไทยหลายเท่าตัว แต่ก็มีเมืองใหญ่ไม่เยอะ เมืองยอดนิยมสำหรับนักท่องเที่ยวหรือนักเรียน คงหนีไม่พ้นซิดนีย์ หรือเมลเบิร์น ที่นอกจะมีความเจริญทางเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวแล้ว คาแรกเตอร์หรือเอกลักษณ์ของเมืองก็ค่อนข้างชัดเจน หากหลับตานึกภาพซิดนีย์ คงต้องเป็น Sydney Opera House หรือเมลเบิร์นก็ต้องเป็นกาแฟหอม ๆ แล้วบริสเบน เมืองใหญ่แห่งควีนส์แลนด์ล่ะ มีจุดเด่นอะไรที่แตกต่างจากเมืองใหญ่เหล่านั้นบ้าง ? หากใครยังตอบคำถามนี้ไม่ได้ เราจะมานำเสนอ 9 สิ่งที่เอาไปเล่าให้เพื่อน ๆ ที่ยังไม่เคยมาออสเตรเลีย ให้สนใจอยากแวะมาท่องเที่ยวที่บริสเบนกัน

  

1. เมืองที่วิถีชีวิตกับสายน้ำ ผสมผสานกันอย่างลงตัว

 

9 things make brisbane unique 01 

ที่มาภาพ : pixabay.com


      หากกางแผนที่เมืองโดยกว้าง บริสเบนเป็นเมืองที่มีแม่น้ำ Brisbane River ผ่านใจกลางเมือง แม่น้ำอันคดเคี้ยวแห่งนี้ มีความยาวกว่า 344 กิโลเมตร ด้วยเส้นทางแม่น้ำที่ไหลผ่านยังพื้นที่ต่าง ๆ  ในเมืองจึงมีบริการ CityCat ระบบขนส่งสาธารณะทางเรือ เพื่อการเดินทางระหว่างจุด ที่เริ่มต้นจาก St Lucia ยาวขึ้นไปถึง Hamilton เลย นอกจากจะเป็นแม่น้ำสายหลักเพื่อการสัญจรแล้ว ยังมีกิจกรรมการท่องเที่ยวและการผจญภัยต่าง ๆ เกิดขึ้นบนสายน้ำแห่งนี้ อย่างการพายคายัค, ปั่นจักรยานน้ำ ฯลฯ มากไปกว่านั้น ผู้คนที่นี่มักรวมตัวและทำกิจกรรมริมน้ำ เช่น ปิกนิคชมแม่น้ำกันที่ City Botanic Gardens , วิ่ง Jogging บนเส้นทาง New Farm Riverwalk ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะ, ร้านนั่งชิลริมแม่น้ำใต้สะพาน Story Bridge ยามค่ำคืนสุดโรแมนติก ฯลฯ เรียกได้ว่า แม่น้ำบริสเบนอยู่ในทุกกิจกรรมของผู้คนที่นี่เลยก็ว่าได้

 

 

2. เมืองที่มีรูปแบบสถาปัตยกรรมเฉพาะตัว

 

9 things make brisbane unique 02 1

9 things make brisbane unique 02 2 

ที่มาภาพ : en.wikipedia.org

      ใครที่พักอาศัยอยู่นอกตัวเมือง CBD คงจะพบเห็นบ้านเรือนสุดคลาสสิคมีชื่อเรียกว่า "Queenslander Style" ที่หน้าตาภายนอก ละม้ายคล้ายกับโครงสร้างบ้านไทยในหลายจุด เช่น การยกพื้นบ้านสูง, หลังคาทรงจั่ว, บันไดที่เข้าบ้านจากภายนอก หรือการใช้วัสดุภายนอกที่เป็นไม้ อันเนื่องด้วยเหตุผลทางด้านสภาพอากาศภายในควีนส์แลนด์ที่ค่อนข้างร้อน บางพื้นที่มีน้ำท่วมหรือพายุฝน การออกแบบหลังคาสูงและชันกว่าปกติ ทำให้ช่วยระบายน้ำฝนได้เร็ว เป็นต้น นอกเหนือจากสไตล์การออกแบบบ้านแล้ว ในตัวเมืองยังมีอีกวัสดุก่อสร้างอีกหนึ่งชนิด ที่พบได้แค่ในอาคารเก่าแก่ที่เรียกว่า “Brisbane Tuff” สิ่งนั้นคือหินภูเขาไฟที่มีหลากหลายสีสันตามธรรมชาติ ทั้งสีชมพู, สีเขียว, สีม่วง และสีฟ้า ที่ธรรมชาติแต่งแต้ม ซึ่งสีสันเกิดขึ้นจากแร่ธาตุในหินอย่าง แมงกานีส นั่นเอง เราสามารถพบการก่อสร้างด้วย ที่ St Mary's Anglican Church ย่าน Kangaroo Point หรือที่ Manor Apartment Hotel ที่อยู่บนถนน Queens Street ในตัวเมือง

 

 

3. เมืองที่ใครก็สามารถปีนหน้าผากลางแจ้ง

 9 things make brisbane unique 03

 

ที่มาภาพ : img.rezdy.com


      ถ้าการปีนหน้าผาจำลองมันธรรมดาไป มาที่ Kangaroo Point Cliffs คุณสามารถปีนหน้าผาธรรมชาติของจริง พร้อมชมวิวเมืองมุมสูงของตัวเมืองจากความสูงถึง 20 เมตรได้ ไม่เหมือนเมืองไหน ๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งช่วงพระอาทิตย์ตก สวยอย่าบอกใครเลยทีเดียวเชียว Fun Fact ที่น่าสนใจของ Kangaroo Point นั่นก็คือ ในอดีตหน้าผานี้เคยเป็นเหมืองแร่มาตั้งแต่สมัย 1829 ถึง 1976 และหินจากหน้าผานี้ ได้นำไปใช้ในการพัฒนาเมืองอย่างจริงจัง อย่างเช่นการสร้างถนน สร้างอาคาร ซึ่งหินที่ได้มานั่นคือ Brisbane Tuff ที่เล่าไปข้างต้น แหล่งกำเนิดมาจากหน้าผานี้นั่นเอง

 

 

4. เมืองที่มีเทศกาลแห่งความสุขประจำปี

 

9 things make brisbane unique 04 

ที่มาภาพ : inqld.com.au

      จะมีสักกี่งานในออสเตรเลีย ที่จะรวมเครื่องเล่นสุดสนุก ฟิลลิ่งคล้ายงานวัดในไทย ได้เหมือนงาน Ekka อีกแล้ว งาน Ekka คืองานแห่งความสนุกประจำปี ที่จัดขึ้นใหญ่ที่สุดของเมือง งานนี้จัดขึ้นมาตั้งแต่ปี 1876 หลังจากการแยกตัวออกจากรัฐ New South Wales ในปัจจุบันทุกปี งานจัดขึ้นที่ Royal Queensland Show โดยที่มาของชื่องานนี้ เกิดจากชื่อเต็มคือ Brisbane Exhibition แต่ด้วยเวลาที่ผ่านมายาวนาน ผู้คนได้ปรับให้กลายเป็นคำแสลงสไตล์ออสซี่ จนเหลือแต่คำว่า “Ekka” จนถึงทุกวันนี้ งานใหญ่ยักษ์ขนาดนี้ แน่นอนว่ามีคนเข้าร่วมมากถึง 400,000 คนในทุกปี ความสนุกภายในงาน มีทั้งแต่เครื่องเล่น เกมส์ต่าง ๆ  ม้าหมุน ชิงช้าสวรรค์ รวมไปถึงโชว์การแสดง ที่ขนทัพกันมาทั้งรัฐควีนส์แลนด์เลยก็ว่าได้ น่าเสียดายที่ปีที่ผ่านมารวมทั้งปีนี้ งาน Ekka งดจัดกิจกรรมชั่วคราว เนื่องจากสถานการณ์โรคระบาดที่คาดเดาได้ยาก อย่างไรก็ตาม ของหวานอันเป็นเอกลักษณ์ในงาน ที่ใครไปต้องต่อคิวซื้อทานอย่าง Strawberry Sundae เอง ยังคงจำหน่ายให้กินแก้คิดถึงไปพลาง ๆ  ส่วนปีหน้าจะได้จัดงานตามปกติหรือไม่ มาลุ้นกันต่อ

  

 

5. เมืองที่มีอากาศดี กิจกรรมหลากหลาย เที่ยวได้ทุกฤดู

 

 9 things make brisbane unique 05

ที่มาภาพ : learningcurve-th.com


      บริสเบนเป็นเมืองที่มาสภาพอากาศอบอุ่นแทบจะทั้งปี ไม่ร้อนเกิน ไม่หนาวไป สมกับชายา “Sunshine State” ถ้าเทียบกับเมืองใหญ่อื่น ๆ  อย่างซิดนีย์หรือเมลเบิร์น ที่มีความแปรปรวนทางอากาศมากกว่า ที่บริสเบนมีอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนอยู่ที่ 21 - 29.8°C และ 11 - 21°C ในฤดูหนาว เรียกได้ว่ามีเสื้อกันหนาวตัวเดียว เอาอยู่ทุกฤดู ยิ่งช่วงฤดู Spring หรือใบไม้ผลิในตอนนี้ เป็นช่วงอากาศที่ดี ทั้งแดดดี แถมลมเย็นสบาย กิจกรรมควรค่าในช่วงฤดูกาลนี้ นั้นคือการไปเที่ยวชายหาด และเกาะต่าง ๆ ที่ Great Barrier Reef หรือถ้าไม่อยากออกไปไกล ก็ไปที่ Gold Coast และอีกหนึ่งสิ่งที่สามารถพบได้แค่เฉพาะแค่ช่วงนี้ นั่นคือการรอชมปลาวาฬหลังค่อม (Humpbacks) ที่ Hervey Bay จุดชมวาฬยอดนิยมเลย

 

6.เมืองที่เราว่ายน้ำอาบแดดได้ใจกลางเมือง

 

9 things make brisbane unique 06 

ที่มาภาพ : lonelyplanet.com

      แม้ว่าจะวันหยุด วันทำงาน หากใครที่มองหาสถานที่เล่นน้ำล่ะก็ ไม่ต้องไปไหนไกล เพียงไปที่ South Brisbane ใจกลางเมือง เราก็จะพบกับสระว่ายน้ำสาธารณะ Southbank Parklands และชายหาดเทียมกลางแจ้ง เปิดรับผู้คนทุกเพศทุกวัย ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เข้ามาพักผ่อนหย่อนตัวลงน้ำอย่างสบายใจ ยิ่งหน้าร้อนแบบนี้ ขึ้นมาจากน้ำก็แวะไปตากแอร์เย็น ๆ ที่ QAGOMA (The Queensland Art Gallery | Gallery of Modern Art) ต่อได้เลย เดินเข้าไปชมนิทรรศการศิลปะทั้งแบบชั่วคราวและถาวรได้อย่างสบายใจ อย่างงานศิลปะที่จัดแสดงอยู่ในช่วงนี้ก็มีงานของ Ai Weiwei ศิลปินสัญชาติจีนที่ใครอยู่ในวงการศิลปะต้องรู้จัก หรือจะเป็นนิทรรศการผลงานศิลปะทางวัฒนธรรมทางอินเดีย อย่าง “Fine Line” ผ่านเทคนิคการวาดอันปราณีต

 

7. เมืองที่กำลังจะได้เป็นเจ้าภาพ Olympic

 

9 things make brisbane unique 07 

ที่มาภาพ : brisbanedevelopment.com


      เป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นไม่น้อย กับการได้รับเกียรติให้เป็นเมืองเจ้าภาพในการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปี 2032 การได้รับเลือกเป็นตัวแทนงานระดับโลกแบบนี้ สร้างความยินดีให้กับชาวบริสเบนไม่น้อยเลย แน่นอนว่าตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป เราจะได้เห็นเมืองบริสเบนมีความเปลี่ยนแปลงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งระบบการจัดการ รวมไปถึงสาธารณูปโภคต่าง ๆ ภายในเมือง เพื่อรองรับการเข้ามาของนักกีฬาและนักท่องเที่ยวในอนาคต ซึ่งเชื่อว่าเมืองจะมีสีสันและการเจริญเติบโตอย่างก้าวกระโดด อีกทั้งโอกาสทางเศรษฐกิจ รวมไปถึงความต้องการด้านแรงงาน ใครที่กำลังตัดสินใจจะมาใช้ชีวิตต่อ ทั้งในด้านการศึกษาต่อหรือการทำงานล่ะก็ เมืองบริสเบนกำลังจะขยายใหญ่ โอกาสที่เราจะประสบความสำเร็จก็มีมากขึ้นเช่นกัน ควรรีบเข้ามาอยู่ซะตั้งแต่ตอนนี้เลย ส่วนใครที่มีแพลนที่กำลังจะมาท่องเที่ยว อย่าพลาดที่จะลิสเมืองนี้ให้เป็นหมุดหมายหนึ่งในอนาคตด้วยล่ะ

 

8. เมืองที่มี Local Market แทบทุกอาทิตย์

 

9 things make brisbane unique 08 

ที่มาภาพ :  ecologycenter.org


      การตื่นเช้า ปั่นจักรยานเดินเลือกซื้อวัตถุดิบสดและของอร่อยที่ Farmer Market นั้นเป็นกิจกรรมประจำวันหยุดของผู้คนที่นี่เลยก็ว่าได้ นอกจากจะมีของกินให้เลือกสรรแล้ว ตามจุดต่าง ๆ ในเมือง ก็ยังมีตลาดรูปแบบอื่น ๆ  อาทิเช่น ตลาดจำหน่ายของ Handmade, สินค้ามือสอง, สินค้าวินเทจ หรือจะเป็นตลาดอาหารนานาชาติในรูปแบบ Food Truck ก็มี บางตลาดเปิดตลอดทั้งปี บางตลาดเปิดตามฤดูกาลก็มี หากจะแนะนำล่ะก็ เริ่มต้นกันที่ Jan Powers Farmers Markets ตลาดที่จำหน่ายวัตถุดิบ ผัก ผลไม้สด รวมถึงสินค้าออแกนิค จำหน่ายจากมือชาวสวนโดยตรง จัดขึ้นรอบตัวเมือง ทั้งที่ New Farm ที่เปิดทุกวันเสาร์ 6 โมงเช้าถึงเที่ยงตรง ส่วนที่ Manly และ Mitchelton เปิดแค่บางเสาร์ หรืออาทิตย์ท่านั้น หากใครอยากเดินตลาดที่ใหญ่กว่านี้ล่ะก็ ต้องที่ Brisbane Market Place ซึ่งมีทั้งตลาดขายวัตถุดิบ อาหารสดในวันเสาร์ (Saturday Fresh Markets) และตลาดขายเสื้อผ้า ต้นไม้ ของใช้ ของสะสมในวันอาทิตย์ (Sunday Discovery Market) ที่นี่มีวัตถุดิบอาหารและสินค้าให้เลือกหลากหลายกว่าตลาดอื่น ๆ  หรือหากใครอยากผันตัวเป็นแม่ค้า ขายสินค้ามือสอง งานฝีมือ หรือเสื้อผ้าที่อยากส่งต่อให้คนอื่นล่ะก็​ แนะนำ Brisbane Suitcase Rummageที่ร้านค้าสามารถปูผ้า เปิดแผงหน้า Brisbane Square ได้ทั้งวัน

 

9. เมืองที่มีศูนย์โคอาลาที่ใหญ่ที่สุดในโลก

 9 things make brisbane unique 09

ที่มาภาพ : lonepinekoalasanctuary.com

      หากถามถึงสัตว์คู่บ้านคู่เมืองของออสเตรเลีย คนทั่วไปคงอดไม่ได้ที่จะนึกถึง จิงโจ้ หรือโคอาลา ซึ่งรู้หรือไม่ว่าที่บริสเบน มีสวนโคอาลาที่ใหญ่ที่สุดในโลกเมื่อปี 1990! นั่นคือที่Lone Pine Koala Sanctuary ที่เรารู้จักกันนั่นเอง ที่นี่คือศูนย์อนุบาลโคอาลาที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1927 ก่อตั้งขึ้นโดย Claude Reid เพื่อคุ้มครองหมีโคอาลาที่ถูกล่าเพื่อการค้า การเดินทางก็แสนง่ายและสะดวก ด้วยรถเมล์สาย 445 จากใจกลางเมืองเพียง 20 นาทีเท่านั้น ที่นี่เปิดโอกาสให้เราสามารถอุ้มน้องโคอาลาด้วยมือเปล่า พร้อมชักภาพเป็นที่ระลึก (แบบมีค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นค่าขนมให้น้องโคอาลา)  หรือจะเยี่ยมชมน้องตัวเป็น ๆ ในระยะใกล้ก็ได้ นอกเหนือจากโคอาลาตัวนุ่มนิ่มแล้ว ยังมีฝูงจิงโจ้ ที่ต้อนรับเรา (แบบง่วง ๆ ) พร้อมให้เราเข้าไปให้อาหารและเซลฟี่ข้าง ๆ กันได้แบบไม่ถือตัว  คือ ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ เริ่มต้นที่ $49.00 แต่ถ้าใครมืบัตรนักเรียน/ นักศึกษาล่ะก็ สามารถซื้อได้ในราคา $39.00 

ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 02 พ.ย. 2021
Yingg Is

ไปได้ทุกที่ ยกเว้นบ้าน