สั่งพิมพ์หน้านี้

'การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ประสบปัญหา DV' - ความรุนแรงภายในครอบครัว Domestic Violence ตอนที่ 2/4

เผยแพร่เมื่อ 05 ม.ค. 2017 ผู้เขียน
Domestic Violence ตอนที่ 2/4 Domestic Violence ตอนที่ 2/4

ในตอนที่แล้ว 'ข้อมูลเบื้องต้นเกี่ยวกับ DV' เราได้พูดถึงเรื่องภาพรวมของการใช้ความรุนแรงในครอบครัว สำหรับในตอนที่ 2 นี้เราจะมาพูดกันต่อถึง การให้ความช่วยเหลือแก่ผู้ที่ประสบปัญหาหรือถูกกระทำจากการใช้ความรุนแรงในครอบครัว และเราจะช่วยเหลือเค้าเหล่านั้นได้อย่างไรบ้าง..

 

สัญญาณบ่งบอกว่ามี DV เกิดขึ้นกับคนที่เรารู้จัก20161128-dv-facts-1

  • หากเพื่อนหรือญาติของเรามีอาการดังต่อไปนี้ อาจจะเป็นสัญญาณบอกว่าพวกเขากำลังประสบกับ DV อยู่
  • ดูเหมือนจะกลัวคู่ของเขา เวลาอยู่ด้วยกัน จะไม่ค่อยพูด เด็กจะดูกลัว ๆ หรือจะเรียบร้อยผิดปกติ
  • พยายามเอาใจคู่ของเขาอย่างมาก
  • พูดว่าแฟนของเขาตามติดตลอด โทรจิก เมสเสสมา อยากรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน ทำอะไร อยู่กับใคร
  • ถูกแฟนของเขาวิพากย์วิจารย์ หรือต่อว่า ต่อหน้าเรา
  • เล่าให้ฟังว่าคู่ของเขาขี้หึงหวงมากและชอบกล่าวหาว่าเขากิ๊กกับคนอื่น
  • เล่าให้ฟังว่าคู่หรือคนในครอบครัวอารมณ์รุนแรง หรือหงุดหงิด โดยเฉพาะเวลาเมา
  • มีแผลฟกช้ำ กระดูกหัก หรือร่องรอยการบาดเจ็บอื่น ๆ ที่เจ้าตัวบอกว่าเกิดจากการล้มหรืออุบัติเหตุ เป็นประจำ
  • ใส่เสื้อผ้ามิดชิดแม้แต่ในอากาศร้อน แต่งหน้าเข้ม ใส่แว่นกันแดดแม้แต่เวลาอยู่ในตึก เพื่อปกป้องร่องรอยการถูกทำร้าย
  • มาทำงานหรือตามนัดสายเป็นประจำ หรือยกเลิกนัดกะทันหัน
  • หยุดการติดต่อกับเรา เพื่อนคนอื่น และญาติ ๆ
  • เล่าให้ฟังว่าแฟนของเขาควบคุมการเงินในบ้าน (เช่น ไม่ให้เงินใช้ หรือให้ไม่พอใช้ แล้วก็มาคิดทุกบาททุกสตางค์ที่เขาใช้)

เราสามารถช่วยเหลือผู้ประสบกับ DV ได้อย่างไรบ้าง

ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนหรือญาติของเรา สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาคือการที่มีเราอยู่เคียงข้าง ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถช่วยให้สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นได้ทันที แต่เราอาจจะช่วยให้เขาได้คิดหาทางออก มองเห็นทางลือกได้มากขึ้น และที่สำคัญ ทำให้เขารู้สึกปลอดภัย

20170105-dv-want-to-help

การที่จะเริ่มเปิดบทสนทนาเกี่ยวกับเรื่อง DV ขึ้นมาอาจจะเป็นเรื่องที่ยาก ส่วนใหญ่แล้วคู่ของเหยื่อจะโทษซ้ำ ๆ ว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของตัวเหยื่อเอง ทำให้เหยื่ออาจมีความกลัวที่จะถูกวิจารณ์และจะตั้งป้อมกำแพงเพื่อปกป้องตัวเอง

  • ให้เริ่มเปิดบทสนทนาเมื่อเราอยู่กับเขาสองต่อสอง ในที่ ๆ ปลอดภัยจากบุคคลภายนอก และแน่ใจว่ามีเวลาสำหรับคุยกันเรื่องนี้พอ เขาอาจจะรู้สึกปลอดภัยและเชื่อใจเรามากพอที่จะเล่าและให้เราเก็บเป็นความลับระหว่างกัน การเริ่มต้นบทสนทนาเช่น “ฉันเป็นห่วงเธอจังเลยเพราะเราไม่ค่อยได้เจอกันช่วงนี้” หรือ “ดูเธอไม่ค่อยมีความสุขเลยนะช่วงนี้” อาจจะช่วยให้เขาเริ่มเปิดใจพูด
  • มันเป็นเรื่องสำคัญมากที่เราจะต้องเชื่อในสิ่งที่เขาเล่า โดยมากเขาจะเล่าถึงความรุนแรงที่น้อยกว่าความเป็นจริงมากกว่าที่จะใส่ไข่ ผู้ทำร้าย (Abusers) หลาย ๆ คนจะมีปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อคนทั่วไป ทำให้สิ่งที่เราเห็นอาจจะแตกต่างจากการกระทำที่เขาทำต่อคู่ของเขาที่เราได้รับฟัง
  • พยายามตั้งใจฟังและไม่ตัดสินหรือตั้งข้อสรุปอะไร อย่าบอกเขาว่าต้องทำอย่างไร แต่พูดให้เขาได้มองเห็นทางเลือกซึ่งอาจเป็นทางออกจากสถานการณ์นี้
  • หลังจากที่คุยกันเสร็จแล้ว บอกให้เขารู้ว่าเราเป็นห่วงและถามเขาว่ามีอะไรที่เราช่วยได้มั้ย พูดให้ชัดเจนว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นเป็นเหตุเกิดจากคู่ของเขา ไม่ใช่ตัวเขา และตัวผู้ถูกทำร้ายไม่สามารถที่จะหยุดพฤติกรรมความรุนแรงนี้เองได้ ไม่ว่าเขาจะพยายามมากแค่ไหน
  • เราควรจะบอกให้เขารู้ว่ามีองค์กรณ์ที่สามารถช่วยเขาได้ รวมไปถึงการช่วยพาหนีออกมาหากนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ ถ้าเราคิดว่าสถานการณ์ของเขาต้องการการช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญ เราควรช่วยสนับสนุนให้เขาติดต่อขอความช่วยเหลือไปด้วยตนเอง
  • ถ้าคิดว่าเราอาจจะต้องติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยเขา เราจะต้องแจ้งให้เขาทราบ แต่บอกให้เขาสบายใจว่าเราจะไม่เอ่ยชื่อหรือบ่งบอกว่าเป็นเรื่องของใคร
  • คอยเป็นเพื่อนและติดต่อกันอยู่ตลอด ในขณะเดียวกันก็คอยย้ำเขาว่าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะอยู่โดยปราศจากการทำร้าย หากเขาต้องการที่จะหลบหนีไปอยู่ที่อื่น ก็ให้ช่วยเหลือ และหากเขาอยู่ในอันตรายให้โทรสายด่วนหาตำรวจที่เบอร์ 000 (ศูนย์ ศูนย์ ศูนย์)

แม้ว่าเราจะต้องการช่วยเหลือเขา แต่ตัวเราเองก็ต้องปกป้องตัวเอง โดยไม่พาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์รุนแรง หรือโต้แย้งกับผู้ทำร้าย

 

หากผู้ถูกทำร้ายไม่อยากเล่าล่ะ

แม้ว่าเขาจะไม่อยากพูด แต่เราก็ควรที่จะบอกให้เขาทราบถึงความเป็นห่วง บอกเขาว่า DV เป็นเรื่องที่ไม่โอเคและเขาก็ไม่ได้ทำอะไร หรือสมควรที่จะต้องมาโดนทำร้ายแบบนี้ ทำให้เขารู้ว่าเราจะอยู่ข้างเขา และพร้อมเสมอที่จะรับฟังและช่วยเหลือเมื่อเขาพร้อมที่จะเล่า

 

เพื่อนของฉันไม่ยอมที่จะหยุดความสัมพันธ์ที่เลวร้ายนี้ ฉันจะทำยังไงดี

เราไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้นอกจากอยู่ข้าง ๆ คอยเป็นกำลังใจให้ แต่หากเขาอยู่ในอันตรายร้ายแรงและต้องการความช่วยเหลือทันที ต้องโทรแจ้งตำรวจที่เบอร์ 000 (ศูนย์ ศูนย์ ศูนย์) การที่จะหยุดความสัมพันธ์เป็นเรื่องยากแม้ว่าจะมีความรุนแรงเกิดขึ้นก็ตาม ซึ่งสาเหตุอาจจะมีอยู่หลายข้อด้วยกันว่าทำไมผู้ที่ถูกทำร้ายถึงไม่สามารถหยุดความสัมพันธ์นี้ได้ เช่น

  • กลัวตาย หรือลูกจะถูกทำร้าย หรือญาติจะพลอยติดร่างแหไปด้วย
  • เชื่อว่าหนีไปไหนก็ไม่รอด
  • เชื่อว่าคู่ของเขาจะหยุดการกระทำนี้ได้ และหวังว่าความสัมพันธ์จะกลับไปดีเหมือนเดิมก่อนหน้าที่จะเกิดความรุนแรง
  • เชื่อว่าเขาสามารถหยุดเรื่องนี้ได้เอง หรือลูกจะสามารถทำได้
  • ฟังคนอื่น เช่น ญาติ เพื่อน ผู้หลักผู้ใหญ่ บอกให้ให้โอกาสคู่ตัวเองในการปรับปรุงตัว
  • มีความเชื่อทางศาสนาหรือขนบธรรมเนียมว่าจะต้องอยู่กับคู่แต่งงานไปตลอดชีวิต
  • กลัวว่าจะถูกแยกออกจากญาติและเพื่อน
  • รู้สึกผิดและเชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของเขาเอง
  • หวังว่าหากเขาเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเอง คู่ของเขาก็จะหยุดความรุนแรงไปเอง
  • ไม่มีเงินพอที่จะดูแลตัวเองหรือลูก
  • กลัวว่าจะพรากจากลูก
  • ไม่อยากจะหยุดความสัมพันธ์เพราะลงทุนเสียเวลากับคนนี้ไปมากแล้ว

 

ควรจะพูดอะไรกับคนลงมือมั้ย

ไม่ควรจะพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้กับเขา เพราะอาจจะทำให้ตัวเราตกอยู่ในอันตราย และอาจทำให้คนที่ถูกทำร้ายเจ็บตัวมากขึ้น

 

หากผู้ที่ถูกทำร้ายมีลูกล่ะ

ถึงแม้ว่าตัวเด็กเองจะไม่ได้โดนทำร้ายโดยตรง แต่ DV ส่งผลกระทบต่อเด็กอย่างรุนแรง เราสามารถบอกเด็กได้ว่าเราเป็นห่วงเขานะ และสามารถช่วยเขาได้ตามนี้ (ลิงค์ไป การช่วยเหลือเด็กหรือวัยรุ่น)

 

จบไปแล้ว 2 ตอน เรายังเหลืออีก 2 ตอน สำหรับบทความเรื่องการใช้ความรุนแรงในครอบครัว ในตอนหน้านั้นเราจะมาพูดกันถึงเรื่อง 'การเตรียมตัวเพื่อความปลอดภัยของตัวเองสำหรับผู้ที่ประสบ DV' สำหรับใครที่กำลังตกอยู่ในปัญหานี้หรือรู้จักคนที่ถูกกดขี่ข่มเหงด้าน DV สามารถติดต่อได้ตามข้อมูลด้านล่างนี้..

20161128-dv-qld-trust-your-instinct

ช่องทางการขอความช่วยเหลือด้าน Domestic Violence

หน่วยงานของรัฐบาลออสเตรเลีย

 

ที่มา: www.qld.gov.au - "Support someone experiencing domestic and family violence"

MaBrisbane

Welcome to The Sunshine State