สั่งพิมพ์หน้านี้

Reader Way - สัมภาษณ์ปลา เบญญาภา (พรพรรณ) เชาวฤทธิ์ อดีตมิสทีนไทยแลนด์ 1990

เผยแพร่เมื่อ 08 เม.ย. 2018 ผู้เขียน
“ถึงจะไม่มีความรักในแบบสามีภรรยาแล้ว แต่ความเป็นครอบครัวในเรื่องของ พ่อแม่ลูกก็จะมีอยู่ตลอดไป ปลา เบญญาภา (พรพรรณ)  เชาวฤทธิ์ อดีตมิสทีนไทยแลนด์1990 กับการเปิดใจครั้งแรกกับ ความรักที่ต้องเดินทางมาถึงจุดจบ และการใช้ชีวิตให้มีพลังบวก ในฐานะคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว ผู้บริหารกิจการร้านอาหารทะเลชื่อดัง และแม่ค้าออนไลน์ กับชีวิตที่เลือกแล้ว
 

ชีวิตในวงการบันเทิงทั้งดารา นายแบบ นางแบบและ นางงาม เป็นสิ่งที่หอมหวานและยั่วยวนให้คนหน้าตาดีทั้งหลายอยากมีโอกาสที่จะเข้ามาแวะเวียนหาประสบการณ์ แต่ใครจะไปถึงฝันได้แค่ไหนนั้นก็ขึ่นอยู่กับปัจจัยหลายๆอย่าง ที่ไม่ใช่แค่หน้าตาดีแต่เพียงอย่างเดียว

สาวสวยของเราคนนี้ มีดีกรีเป็นถึง “นางงามระดับประเทศตั้งแต่อายุ 16 และเคยได้เล่นละครทีวีซึ่งหลาย ๆ คนในยุค 90 ยังคงจดจำเธอได้เป็นอย่างดี” 

 

พี่รี่- สวัสดีค่ะปลา รบกวนแนะนำตัวเองนิดนึงค่ะ
ปลา- สวัสดีค่ะรี่ ชื่อสมัยประกวดและทำงานในวงการบันเทิงตอนนั้นชื่อ “พรพรรณ เชาวฤทธิ์” แต่ตอนนี้เปลี่ยนเป็น “เบญญาภาจ้ะ”

 

พี่รี่- เรากับปลานี่ก็รู้จักกันมายี่สิบกว่าปีแล้วนะ แต่ความสวยเนี่ยยังคงเดิม มีเคล็ดลับอะไรพิเศษไหม
ปลา- คิดว่าน่าจะเป็นเพราะโสดนะ (หัวเราะ) คือจริงๆแล้วก็อย่างที่ทราบคือเป็นคนขายของเกี่ยวกับสวย ๆ งาม ๆ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์บำรุงผิวต่าง ๆ เราก็ได้มีการทดลองใช้ทดลองทานก่อนที่จะนำเสนอขายให้กับลูกค้าน่ะค่ะ ถ้าผลิตภัณฑ์ตัวไหนดีเราก็ใช้ต่อไปเลย

 

พี่รี่- อยากให้ปลาลองย้อนกลับไปสมัยที่ได้ตำแหน่งมิสทีนไทยแลนด์ในปี 1990 หน่อยค่ะ ว่ามีโอกาสอะไรเข้ามาในชีวิตบ้างและเหตุปัจจัยอะไรที่ทำให้เส้นทางชีวิตในวงการบันเทิงของเราต้องหยุดชะงักลง (อันนี้เพื่อเป็นวิทยาทานให้กับเด็กรุ่นหลังที่อยากเข้ามามีประสบการณ์ในการเป็นดาราหรือนางงาม)
ปลา- บอกเลยค่ะว่า ตั้งแต่ได้ตำแหน่งชีวิตดิฉันเปลี่ยนมาก คือได้ตำแหน่งตั้งแต่อายุ 16 ปีนะรี่ ตอนนั้นเราก็ยังมีความเป็นเด็ก สิ่งยั่วยุอะไรต่าง ๆ ก็มีเยอะ แต่ปลาโชคดีที่มีที่บ้านคือคุณพ่อคุณแม่คอยดูแลและเป็นที่ปรึกษา (จริง ๆ คือควบคุมความประพฤติ) คุณพ่อปลาเป็นทหารตำแหน่งคือเป็นนายพล ส่วนคุณแม่ก็ทำงานไม่ได้เป็นแม่บ้านอย่างเดียว เพราะฉะนั้นในความอยากดื้อของเราก็ยังต้องมีขอบเขตในการปฎิบัติตัวจ้ะ คือดื้อได้ไม่สุดน่ะ

 

พี่รี่- พอได้ตำแหน่งปลาก็ได้เข้ามาทำงานในวงการบันเทิง ซึ่งสมัยนั้นเวทีประกวดต่างๆถือว่าเป็นรากฐานต้นๆให้ได้เข้ามาทำงานในวงการจริง ๆ โดยเฉพาะผู้ได้ตำแหน่ง ปลาทำอะไรบ้างในช่วงเวลานั้น
ปลา- ตอนได้ตำแหน่งก็มีสัญญากับทางช่องเจ็ดหนึ่งปี ซึ่งตอนนั้นปลาก็ได้รับความเมตตาจาก คุณแดง สุรางค์ เปรมปรีดิ์ ให้มาลองทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวทางช่องเจ็ด หลังจากนั้นก็ได้รับการติดต่อจากบริษัท ดาราวีดีโอ คือลุงหรั่งว่า สนใจมาเล่นละครไหมแต่เป็นละครแนวจักร ๆ วงษ์ ๆ หนังเจ้าอะไรประมาณนั้นนะ ที่สำคัญคือต้องมีการเข้าป่าเขาไปถ่ายงานด้วยมันจะค่อนข้างลำบากหน่อยจะไหวไหม ยุงก็กัดนะ ตอนนั้นปลาก็คิดเลยว่า “ลำบากแค่ไหนก็เอาวะในเมื่อโอกาสมาถึงเราแล้ว” ก็เลยตกลงรับเล่นเรื่องแรกคือ “เกาะเพชรเจ็ดสี” ซึ่งก็สร้างชื่อให้ปลาพอสมควร แต่ปลาเล่นเป็นตัวร้ายนะไม่ใช่นางเอก คือละครประมาณร้อยกว่าตอนนะคะตอนนั้น และก็มีสายโลหิต ปากกาทอง

 

พี่รี่- แล้วหลังจากนั้นก็มีเหตุการณ์ชีวิตผลิกผันอีกครั้งคืออะไรคะ
ปลา- เหตุการณ์นี้เป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ชีวิตในวงการบันเทิงของปลา “ไปไม่ถึงดวงดาว” คือปลาได้พบกับพ่อของลูก (อดีตสามีคุณตั้ม พร้อมพงศ์ นพฤทธิ์) ซึ่งตอนนั้นพ่อของลูกก็เป็นพระเอกละครหนังจักร ๆ วงศ์ ๆ คือเจอหน้ากันก็ปิ๊งเราก็ได้มีการคบกันจนตัดสินใจอยู่ด้วยกันและก็ลูกค่ะ แต่ตอนนั้นปลาก็ไม่ได้คิดอะไรนะ คือเราถือว่า เป็นชีวิตที่เราเลือกแล้ว

 

พี่รี่- มีลูกด้วยกันกี่คนคะ
ปลา- มีลูกด้วยกันสามคน คนโตเป็นผู้หญิง อีกสองคนเป็นผู้ชายจ้ะ

 

พี่รี่- ตอนที่ออกจากวงการบันเทิงไป ปลาทำอะไรในช่วงนั้นจ้ะ
ปลา- นอกจากเลี้ยงลูกแล้ว ปลาก็ช่วยธุรกิจของพ่อของลูกในขณะนั้นเป็นเกี่ยวกับธุรกิจก่อสร้างพวกเหล็ก ประตู อัลลอยด์จ้ะ ทำออแกนไนซ์ ทำรายการทีวี ปลาก็ไปช่วย ก็อยู่ด้วยกันมาประมาณ11 ปี พอเข้าปีที 12 ก็มีเหตุการณ์ให้ต้องเลิกขาดจากกัน ซึ่งตอนนั้นก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งดังอยู่ ตอนที่เลิกกันปลาก็คิดนะว่า “เลิกกันไปย่อมดีกว่าฝืนอยู่แล้วเกลียดหรือเป็นศัตรูกัน”  ก็หายกันไปไม่คุยกันเลยนะประมาณสองปีถึงกลับมาคุยกันกับพ่อของลูก คือมันเป็นช่วงเวลาที่ต้องพักและทำใจซึ่งกันและกัน โดยเฉพาะผลกระทบที่จะมีกับจิตใจลูก ซึ่งพอเวลาผ่านไปทุกอย่างมันก็ได้รับการเยียวยาไปเอง เค้าก็มีชีวิตของเค้าเราก็มีชีวิตของเราไม่ก้าวก่ายกัน

 

 

พี่รี่- ตัดสินใจลำบากไหมคะช่วงนั้น เพราะเราเคยเป็นภรรยาของดารา นักธุรกิจ และนักการเมือง ซึ่งความมีหน้ามีตาทางสังคมในตอนนั้นจะหายไป และเราต้องเผชิญกับคำว่า “แม่หม้าย” ตั้งแต่ยังสาว ๆ
ปลา- เอาเป็นว่า “งง” คืองง กับชีวิตนะคะว่า เอ๊ะ ตัวเราจะไปทางไหนยังไงดี ลูกอีกล่ะตั้งสามคน แต่โชคดีคือ ณ ช่วงเวลานั้น คุณพ่อคุณแม่เรายังแข็งแรงอยู่ ท่านก็ไปรับตัวเรากลับมาที่สัตหีบเลย ซึ่งก็จะมีน้าชายเราซึ่งในตอนนั้นเป็นผู้กำกับการตำรวจไปรับปลามาด้วย ตอนที่เลิกกับสามีปลาไม่ได้เอาอะไรติดตัวมาเลยนะ ปลามีแค่ลูกคนเล็กและเงินติดตัวมาแค่แปดหมื่นบาททั้งชีวิต เราก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่มาอยู่กับพ่อกับแม่ ไม่ได้ไปอยู่กับผู้ชายที่ไหน คือกลับมาเป็นลูกของพ่อแม่อีกครั้งแต่คราวนี้สถานภาพของเราเปลี่ยนไปละ เพราะเราก็กลายเป็นแม่เหมือนกัน แถมเป็น “แม่หม้ายอีก” (หัวเราะ) ตอนนั้นเราอายุ 31 เอง

 

พี่รี่- แล้วปลามีวิธีรักษาอาการบาดเจ็บของหัวใจและชีวิตของตัวเองยังไง อันนี้อยากให้เป็นวิทยาทานเลยนะคะ สำหรับผู้หญิงหลายคนที่อกหักแล้วคิดว่าชีวิตจบละ อยากฆ่าตัวตาย ชีวิตไปต่อไม่ได้ละอะไรประมาณนี้
ปลา- โหย...เอาเป็นว่า “เกือบไม่รอดนะรี่” คือตอนนั้นบอกกับตัวเองเลยว่า ขอร้องไห้ ขอช้ำ ขออ่อนแอหนึ่งเดือน จะขอร้องไห้ซะให้พอแล้วจะมาตั้งสติเป็นคนใหม่ที่ต้องเดินห้าต่อไป เพราะตอนนั้นปลาต้องรับผิดชอบลูกคนเล็กแบบร้อยเปอร์เซนต์ในทุกๆค่าใช้จ่ายด้วยจ้ะ ส่วนทางอีกสองคนพ่อของลูกก็ดูแล คือหลังจากดึงสติกลับมาละชีวิตตอนนั้นกับสถานะแม่หม้ายพร้อมเงินติดตัวแปดหมื่นบาท ปลาก็คิดละว่าจะทำยังไงกับการใช้เงินจำนวนนั้นให้เกิดดอกออกผลมากที่สุด ก็คิดเลยว่า “ต้องขายของ” แต่จะขายอะไรล่ะ คิดไปคิดมาก็นี่เลย ไปเป็นแม่ค้าตามตลาดนัด เพราะลงทุนน้อยแต่ต้องอดทนในเรื่องของความลำบากและความร้อนไหนทั้งจะต้องเผชิญฝนตกอีก ที่สำคัญที่เป็นการฝึกจิตใจขั้นสูงสุดก็คือ “คำคน” คำคนเนี่ย มันทำให้เราเจ็บท้อและสามารถบั่นทอนแรงกำลังของเราได้มากจริง ๆ จำได้เลยว่ามีคนเดินมาแล้วจำปลาได้ ก็จะพูดประมาณว่า “อ้าว นี่ดารานี่ เมียพร้อมพงศ์นี่ที่มีข่าวน่ะ ทำไมมาขายของในตลาดนัด ทำไมตกอับแล้วเหรอ” ถามว่าเจ็บไหม มันเจ็บมากนะรี่ แต่มันเป็นเพียงความเจ็บที่อยู่ในใจซึ่งเค้าก็ไม่ได้มาทุบตีเรา ปลาก็คิดว่า “เอาไงดีวะ” คือต้องอดทนใช่ไหมต้องผ่านไปให้ได้ ก็เลยยิ้มและตอบเค้าไปว่า “สวัสดีค่ะจะรับอะไรดีคะ” คือทำทุกอย่างให้ผ่านไปด้วยดี เพราะเราต้องเผชิญอยู่กับเหตุการณ์นี้ไปอีกนาน และที่สำคัญคือ คิดอยู่เสมอว่า “เราจะล้มไม่ได้” แล้วในทีสุดก็ผ่านมาจนได้ ซึ่งปลาก็อยากฝากให้ผู้อ่านได้พิจารณานิดนึงค่ะว่า “ดาราก็เป็นคนธรรมดาถ้าวันหนึ่งที่ไม่มีบริษัทจ้างงานชีวิตของพวกเค้าก็ต้องหางานอื่นทำเพื่อให้ดำรงอยู่ให้ได้” บางทีคำว่า ตกอับ มันฟังแล้วดูแรงนะคะสำหรับบางคน เอาเป็นว่า ให้เค้าได้มีโอกาสได้ทำงานที่ถูกต้องสุจริตตามกฎหมายก็น่าจะดีกว่านะคะ

 

พี่รี่- เมื่อผ่านในจุดของ “แม่ค้าตลาดนัด” มาได้แล้ว ในที่สุดก็มาเป็น “ผู้บริหารร้านอาหารทะเล ปรีชาซีฟู๊ด
ปลา- บอกก่อนว่า ร้านอาหารเนี่ย เราไม่ได้เป็นเจ้าของนะเราเป็นแค่ผู้บริหารจัดการ เพราะตัวเจ้าของจริง ๆ เนี่ยเป็นเพื่อนเราตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ คือลูกชายคนเล็กของกำนันปรีชา คือเราเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยอายุ 7-8 ขวบ มันเกิดจากการคุยกันเพราะปลาเนี่ยเห็นที่ที่ติดทะเล และประกอบกับทางเพื่อนปลาเนี่ยเค้าก็มีกิจการร้านอาหารทะเลของที่บ้านอยู่แล้ว ปลาก็พูดคุยประมาณว่าเสียดายทีสวยๆนะ ถ้าจะทิ้งไปเฉยๆอีกอย่างถ้าร้านอาหารเก่าหมดยุคพ่อแม่แล้วเธอจะทำยังไง ก็นั่นล่ะจุดเริ่มคือยุเค้าจนได้เรื่องเค้าก็เลยบอกปลาว่า ถ้าทำปลาต้องมาช่วยบริหารนะ ก็เลยได้มีโอกาสทำงานสายร้านอาหารในฐานะผู้บริหารมาตั้งแต่วันนั้น

 

พี่รี่- แต่ปลาก็ยังมีความเป็นแม่ค้าอยู่นะ เห็นตอนนี้ค่อนข้างมีชื่อเสียงในระดับหนึ่งสำหรับการเป็น “แม่ค้าออนไลน์”
ปลา- ก็อย่างที่รู้น่ะนะรี่ งานทุกงานถ้าเราเป็นลูกจ้างเค้าเนี่ย ความมั่นคงมันจะไม่มี เราก็ต้องหาทำอะไรที่ลงทุนน้อยที่สุดและใช้เวลาที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์ที่สุด แต่เชื่อไหมรี่ว่าจากคิดว่าจะทำเป็นรายได้เสริมเฉย ๆ ตอนนี้กลายเป็น รายได้ที่ใช้ส่งเสียดูแลลูก ๆ ได้เป็นกอบเป็นกำเลยน่ะ เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้ลูกจะโตแล้ว แต่ก็อย่างที่หลายๆคนอาจเคยรู้นะว่า จะมีช่วงที่พ่อของลูกต้องอยู่ในคุก ดังนั้นค่าใช้จ่ายทั้งหมดเลยตกอยู่ที่ปลาและปลาก็ยังต้องดูแลแม่อีกด้วย

 

พี่รี่- เหนื่อยไหม เคยรู้สึกท้อใจไหม แบบว่า ทำไมชีวิตเราต้องมาเจออะไรแบบนี้
ปลา- เอาจริง ๆ นะเพื่อน คือปลาเหนื่อยมาตลอด ท้อก็บ่อยมาก ล้มก็หลายครั้ง เคยคิดเคยทำแม้กระทั่งฆ่าตัวตาย พยายามฆ่าตัวตายด้วยการกินยาตายอยู่สองครั้ง แต่ไม่ตายอ่ะ จำได้ว่าครั้งล่าสุดนี่ ปลากินยาไปแล้วเกิด”ฝันว่า ไปเจอพ่อซึ่งพ่อเราก็เสียชีวิตไปแล้ว พ่อเราบอกว่า ให้กลับไปมาทำไมยังไม่ถึงเวลาถ้ามาแล้วใครจะดูแม่” แล้วเราก็ตื่นขึ้นมาแบบ งงๆนะ แล้วก็ไปทำงานต่อซึ่งก็ไม่มีใครรู้เรื่อง ที่มาเล่าให้ฟังเนี่ยไม่ใช่จะแนะนำให้ใครเหนื่อยท้อแล้วไปฆ่าตัวตาย แต่ปลาอยากจะบอกว่า ชีวิตคนเราจริง ๆ แล้วมีค่า อะไรถ้ายังไม่ถึงเวลาหรืออะไรที่ไม่ใช่เราก็ไปเร่งมันไม่ได้ เหนื่อยท้อได้แต่เราก็ต้องมีชีวิตอยู่ เพราะพรุ่งนี้ชีวิตเราอาจเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ซึ่งเราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับชีวิตเราในวันพรุ่งนี้

 

พี่รี่- ถามเรื่องความรักหน่อย เป็นแม่หม้าย สาว สวย เก่ง ดู รวยมาก มีคนมาขายขนมจีบเยอะไหมคะ
ปลา- โอ๊ย ไม่มีเลยจ้ะ (หัวเราะ) คือสถานะคำว่าแม่หม้ายเนียบางครอบครัวเค้าก็ไม่ยอมรับนะ เช่นครอบครัวที่มีเชื้อสายจีน ซึ่งเราก็เข้าใจเพราะเค้าก็คงอยากให้ลูกชายเค้าได้ผู้หญิงที่ยังไม่เคยมีลูกและยังไม่เคยผ่านการแต่งงานมาก่อน ประกอบกับหลาย ๆ คนมองว่าปลา เก่งบ้างล่ะ หาเงินได้เองบ้างล่ะ ไม่ต้องพึ่งใคร งั้นขอประกาศผ่านไปทางนี้เลยละกันนะคะว่า “โสดสนิทค่ะ รับพิจารณนะคะ (หัวเราะ)” คือเพราะบางทีเราก็เหนื่อยไงรี่ เราก็ต้องการคนที่มาเป็นเพื่อนคู่คิดมิตรคู่ใจ มันก็จะมีโมเมนท์นั้น แต่ถ้ามันไม่มีเราก็ต้องยอมรับว่ามันไม่มีจะให้ทำยังไง

 

พี่รี่- แล้วลูก ๆ ว่ายังไงบ้าง
ปลา- ลูกๆบอกว่า “แม่ไปมีแฟนได้แล้ว ถ้าไม่ยอมมีเดี๋ยวจะหาให้” (หัวเราะ)

 

พี่รี่- ทีนี้กลับมาถึงเรื่องลูก ปลามีลูกสาวสุดสวยเป็นนางแบบและกำลังมีละครช่องเจ็ด
ปลา- ใช่ค่ะ คนโตก็พี่เบนซ์นะคะ อายุปีนี้ก็ 21 ปี ปลาจะเรียกเค้าพี่เบนซ์ เพราะเค้าเป็นคนโต

 

พีรี่- ไปยังไงมายังไงพี่เบนซ์ถึงเข้ามาวงการบันเทิงได้
ปลา- ก็เริ่มจากการที่นางไปประกวด “ไทยซุปเปอร์โมเดล” ของช่องเจ็ดและนางก็ติดหนึ่งในสิบและได้รางวัลพิเศษอะไรซักอย่างก็จำไม่ได้

 

พี่รี่- พี่เบนซ์ได้เล่นละครเรื่องอะไรคะ
ปลา- เรื่อง “วิหคหลงลม” ทางช่องเจ็ดค่ะ ยังไงก็ฝากลูกสาวไว้ตรงนี้เลยนะคะ

 

พี่รี่- มีหลักในการสอนลูกให้วางตัวในวงการบันเทิงยังไง เพราะทั้งปลาและพ่อของลูกก็เคยเดินอยู่ในเส้นทางสายนี้
ปลา- เราก็บอกเค้าจากประสบการณ์จริงของเรา ก็จะเน้นให้เบนซ์ตรงเวลา เคารพผู้ใหญ่ทุกคน ไม่ใช่แค่พี่ ๆ ผู้บริหารกองถ่าย แต่เราต้องอ่อนน้อมถ่อมตนกับทุกคนที่เป็นทีมงานและเพื่อนร่วมงาน ซึ่งปลาก็ไม่รู้นะว่าพี่เบนซ์จะไปถึงจุดไหนแต่อย่างน้อยปลาก็ภูมิใจกับทุกอย่างที่เค้าได้ เค้าได้มาด้วยตัวเอง ไม่มีการใช้การเส้นการฝากใด ๆ ทั้งสิ้น คืออยากได้ต้องทำเอง

 

พี่รี่- ปลาเนี่ยเลี้ยงลูกเหมือนเพื่อนกันเนอะดูเป็นคุณแม่ที่ “วัยรุ่นมาก” มีหลักยังไงในการเลี้ยงลูกจ้ะ
ปลา- เอาแบบข้อบังคับก่อนนะก็จะเป็นสายปฎิบัติคือ “ห้ามสักใด ๆ ในร่างกายและห้ามยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด” ที่ปลาห้ามเค้าสักก็เพราะเรารู้ว่าสังคมไทยส่วนใหญ่ถ้าคุณคิดจะทำงานในบริษัท ถ้าเค้ารู้ในเรื่องของรอยสักเราอาจจะไม่ได้รับการพิจารณาให้เข้าทำงาน โดยเฉพาะถ้าเค้ามีตัวเลือกที่ใกล้เคียงกับเราแต่คนคนนั้นไม่มีรอยสัก ส่วนในเรื่องของยาเสพติดเนี่ย อย่าให้รู้เชียว ปลาบอกลูกไปเลยว่าพวกแกโดนแม่จัดเต็มก่อนแน่ ๆ และเราก็ตัดขาดจากการเป็นแม่ลูกกัน คือมันเป็นของไม่ดีนะรี่เราหัวอกพ่อแม่เนอะ เวลาเราดีก็ดีแบบมีเหตุผลเวลาจะตักเตือนหรือห้ามอะไรเค้าก็ต้องใช้เหตุผลเหมือนกัน

 

พี่รี่- แล้วลูกอยู่กันยังไง
ปลา- ลูกอยู่บ้านที่กรุงเทพ เค้าก็โต ๆ กันหมดแล้วต้องหัดดูแลตัวเอง ที่ภูมิใจก็คือ ผลการเรียนทั้งสามคนดีมากได้สามกว่ากันทั้งหมด คือยังไงก็ขอบคุณพ่อของลูก ที่ได้ให้ผลผลิตที่ดี ๆ มา (หัวเราะ)

 

พี่รี่- ปลาดูแลลูกในเรื่องค่าใช้จ่ายยังไง เค้ามีรถขับเองไหม
ปลา- ด้วยความที่เราไม่ได้รวยนะรี่ ประกอบกับค่าใช้จ่ายเยอะมาก เราก็จะไม่สอนให้ลูกฟุ่มเฟือยใดๆทั้งสิ้น พี่เบนซ์ยังต้องนั่งรถเมล์รถตู้ไปโรงเรียนไปทำงาน ส่วนลูกชายอีกสองคนก็ขับมอเตอร์ไซด์ ซึ่งก็เป็นมอเตอร์ไซด์เล็กๆธรรมดาไม่ได้หวือหวาอะไร คือเค้าเป็นเด็กเป็นวัยรุ่น ปลาคิดว่าต้องสอนให้พวกเค้ารู้จักค่าของเงินให้มากที่สุด ซึ่งลูก ๆ ก็รู้และที่ดีใจก็คือ ลูก  ๆ ไม่เคยขออะไรที่ไม่จำเป็นเลย ซึ่งพวกเค้าก็เป็นกำลังใจให้เราได้มาก ๆ คำว่าได้เห็นได้รู้แล้วหายเหนื่อยนั้นมีจริง

 

พี่รี่- ความฝันล่าสุดของ “นางงาม” เห็นว่าใหญ่โตมาก แต่มันกำลังจะกลายเป็นความจริง
ปลา- อ๋อ ใกล้ละค่ะ คือไปกู้ธนาคารมาแล้วค่ะเพื่อน (หัวเราะ) คือกำลังดำเนินการทำรีสอรต์ค่ะ จะให้ชื่อว่า “รีสอรต์นางงาม” ไม่ต้องถามว่าเพราะอะไร บอกเลยค่ะตรงคอนเซป เพราะเราเป็นนางงาม

 

พี่รี่- เป็นรีสอตร์ขนาดกี่ห้องจ้ะ และการตกแต่งเป็นยังไง
ปลา- เราทำแค่ 14 ห้องพอ เพราะว่าพี้นทีมีจำกัดค่ะ ส่วนการตกแต่งก็แน่นอนค่ะ มงกุฏต้องมีเพราะฉันเป็นนางงาม คือคอนเซปเราบอกเลยว่า เวลาลูกค้ามาเค้าจะได้รู้ว่า “พี่เจ้าของเค้าเป็นนางงามเค้าเป็นอดีตมิสทีนไทยแลนด์”

 

พี่รี่- กลัวไหมกับการที่ต้องผ่อนจ่ายหนี้
ปลา- กลัวนะบอกเลยว่าทุกวันนี้ก็เครียดเพราะเดี๋ยวเราก็ต้องเริ่มมีการผ่อนจ่ายให้กับแบงค์ละ แต่เดี๋ยวเราค่อยๆหาทางออกไป เราต้องหาเงินได้ ก็ไม่ใช่ไม่เคยเป็นหนี้ เราก็เคยเป็นหนี้แล้วเรายังผ่านมาได้ แล้วหนี้ก้อนนี้ก็เป็นนี้ที่จะมารับรองชีวิตของเราในอนาคต เพราะอาชีพลูกจ้างมันไม่แน่นอน เค้าอาจบอกเลิกจ้าเราเมื่อไรก็ได้ ประกอบกับอายุเราก็เริ่มมากขี้นแล้ว ทีนี้เราต้องหาอะไรมารองรับชีวิตเรา สามีก็ไม่มี ลูก ๆ ในอนาคตเค้าก็ต้องมีชีวิตมีครอบครัวของเค้า เพราะฉะนั้นวันนี้เรายังมีแรงเราก็ต้องทำต่อไป

 

พี่รี่- ฟังแล้วเป็นพลังบวกบวกมากเลยค่ะเพื่อน อยากให้คนที่กำลังท้อแท้หรือเคยท้อแท้หรือเคยล้มได้มาอ่านจัง ซึ่งเราเชื่อเลยว่า พวกเค้าจะได้สัมผัสถึงพลังงานแนวคิดทางด้านบวกจากปลาได้จริง ๆ สุดท้ายนี้ก็ขออวยพรให้คุณปลาได้ทำความฝันของตัวเองได้สำเร็จในการทำรีสอร์ตนางงามนะคะ แล้วเราจะไปติดตามชีวิตของเธอกันต่อค่ะ
ปรับปรุงล่าสุดเมื่อ 09 เม.ย. 2018
Miss Brisbane

Fashion Editor
MaBrisbane.com

 

เวปไซต์: www.facebook.com/serena.denis.1