ครั้งนี้เราได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมเยือนเพื่อนบ้านใกล้เคียง(ก็ไกลอยู่นะ) นั่นก็คือเมืองเมลเบิร์นในรัฐวิคตอเรียนั่นเอง ซึ่งถ้านั่งเครื่องบินจากบริสเบนก็ 2 ชั่วโมงกว่าๆ โดยเมลเบิร์นนั้นยังถูกจัดอันดับเป็นเมืองน่าอยู่ที่สุดของโลก 3 ปีติดต่อกัน (2011-2013)
ก่อนออกเดินทางเราก็ไม่ลืมที่จะเช็คสภาพอากาศล่วงหน้าจะได้เตรียมเสื้อผ้าถูก เพราะเราแอบได้ยินมาว่าเมลเบิร์นนี่ก็คือประเทศอังกฤษดีๆนี่เอง แบบวันนึงสี่ฤดู เวอร์ไปหรือเปล่า แต่พอลองเช็คพยากรณ์อากาศละก็พกเสื้ออย่างหนาไปด้วยเลย มีเสื้อจัมเปอร์อีกตัว แขนยาว แขนสั้นพร้อม และก็ไม่ลืมที่จะพกร้องเท้ากันฝนไปด้วย เพราะทริปนี้เราไปธรรมชาตินิดนึง เผื่อเจอโคลนตมยามฝนมาถุงเท้าเราจะได้ไม่น้อยใจเปียกแฉะ
เมลเบิร์น วันที่ 1 - มุ่งหน้าสู่ Yarra Valley
วันเดินทางเราเลือกเอาไฟล์ทไม่เช้ามาก กะไปถึงก็พอดีร้านเปิด บินของ Qantas รอบ 7 โมงเช้าออกจากบริสเบน ไปถึงเมลเบิร์นก็ประมาณ 10 โมงนิดๆ ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง 20 นาที มีอาหารเช้าให้กินบนเครื่องด้วย ที่ถึงตั้ง 10 โมงก็ไม่ต้องตกใจไป เพราะว่าหน้าร้อนเขามี Day Light Saving จ่ะ เวลาของเขาจะเร็วกว่าเรา 1 ชั่วโมง ซึ่งเป็นผลดีกะเราตอนขากลับนะ พอลงเครื่องปุ๊บเราก็ไปรับรถที่จองไว้ ไหนๆใช้บริการแควนตัสแล้ว เราก็เลยเลือกเช่ารถกับ Avis ซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์กับ Qantas ได้สะสมพ้อยท์ด้วย เย้...
ที่สนามบินตรงจุดรับกระเป๋าแถวๆทางออกจะเห็นเค้าท์เตอร์บริษัทเช่ารถอยู่ การเช่ารถก็เป็นไปแบบรวดเร็วดี ไม่ชะล่าใจที่จะซื้อประกันเพิ่มไปอีกวันละประมาณ $30 แต่สามารถ cover ค่าเสียหายได้ถึง $3,000 เลยทีเดียว ราคาอาจจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ละรุ่น ขนาดของรถ และผู้ให้บริการ เอกสารที่ใช้ในการเช่าก็มีแค่ใบขับขี่ของผู้ขับ เราสามารถใช้ใบขับขี่ไทยรุ่นใหม่ได้ ที่มีภาษาอังกฤษกำกับอยู่ด้วย(สำหรับนักเรียน,นักท่องเที่ยวที่มาระยะสั้น) สะดวกจุงเบย และบัตรเครดิตที่เค้าจะเก็บเงินเราหลังจากที่เราเอารถไปคืนแล้ว ซึ่งคนขับกับคนจ่ายสามารถเป็นคนละคนกันได้ มีฟอร์มให้กรอกนิดหน่อยพอเป็นพิธี
เดินออกมาจากสนามบินเพื่อจะไปเอารถ โอ้แม่เจ้า เกือบปลิวไปกับสายลม ต้องรีบควักเสื้ออย่างหนามาใส่โดยเร็วไว อากาศวันนั้นประมาณ 10 กว่าองศา บวกกับลมโกรก ไม่น่าเชื่อว่านี่คือหน้าร้อนของเขาแล้ว เดินไปถึงรถ เขาก็จะมีกุญแจเสียบไว้ในรถให้เราขับออกไปได้เลย เพื่อความรอบคอบเราก็ไม่ลืมที่จะถ่ายรูปสภาพรถทุกมุมไว้ก่อนเพื่อเป็นหลักฐาน ก่อนจะออกจากที่จอดรถเราก็ต้องยื่นใบสภาพรถที่เราต้องกรอกให้กับคนเฝ้าที่ทางออกด้วย
ปีศาจน้อยรับบทเป็นคนนำทาง ทริปนี้รอดมาได้ด้วย iPad แต่คนขับก็ไม่ประมาทนะดู GPS ตามไปด้วย ร่วมด้วยช่วยกัน เพราะใหม่กับย่านนี้ทั้งคู่ เรามุ่งหน้าออกจากสนามบินไป Yarra Valley ซึ่งใช้เวลาขับรถไปประมาณ 50 นาที เราเลือกและทานอาหารแถวนั้น ซึ่งร้านนี้ก็คือ La Lupa Romana Ristorante and Pizzeria ชื่อก็บอกละว่าพิซซ่าต้องเด็ดแน่ๆแล้วก็เด็ดจริงๆเพราะเค้าใช้การอบด้วยเตาดินและฟืน แป้งกรอบหอมชีสยืดเป็นวาเลยทีเดียว อิ่มหนำสำราญกันแล้ว เราไปแช่น้ำอุ่นกันเถอะ ขับรถจากร้านนี้ไปแค่ 5 นาทีก็ถึง
อยากแช่น้ำอุ่นไสตล์ญี่ปุ่นหรือ Onzen ไม่ต้องเสียเวลาเดินทาง 9 ชั่วโมง ที่เมลเบิร์นเค้าก็มีที่ Japanese Mountain Retreat เป็น resort & spa ที่จัดทำสไตล์เอเชีย มีทั้งตีมญี่ปุ่นและบาหลี ราคาอาจจะแพงนิดหน่อยและไม่ได้ออกแนวญี่ปุ่นเท่าไหร่นักแต่ก็ถือว่าโอเค จุดเด่นของที่นี่ก็คือบ่อน้ำแร่ธรรมชาติแบบอาบข้างนอก ซึ่งบ่อนี้เป็นแบบส่วนตัว จะลงชุดวันเกิดหรือบิกินี่ก็ได้ไม่ว่ากัน ก่อนไปควรจองกับทางสถานที่ก่อนนะคะ เพราะว่าเค้าคิดเรทเป็นชั่วโมง เพื่อป้องกันการพลาด บ่อนี้เค้าเปิดให้บริการถึงประมาณสองทุ่มครึ่ง ซึ่งปีศาจน้อยแนะนำว่าไปตอนพระอาทิตย์กำลังจะตกน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดค่ะ จะได้เห็นแสงสีของท้องฟ้าที่เปลี่ยนไป แช่น้ำไปด้วย โรแมนติกจริงๆเลยนะนี่
เมลเบิร์น วันที่ 2 - Puffing Billy, Balgownie Estate Vineyard
หลังจากทานอาหารเช้าแล้ว ก็ขับรถมาขึ้นรถไฟไอน้ำ Puffing Billy ซึ่งเราสามารถเลือกขึ้นได้หลายสถานี ปีศาจน้อยเลือกขึ้นสถานี Lakeside Station เนื่องจากอยู่ใกล้ที่พัก ซึ่งในวันนั้นรถออกจากสถานีประมาณ 12.30 น. สาเหตุที่เลือกสถานีนี้เพราะว่าไม่ใช่สถานีหลัก ซึ่งสถานีหลักต้นสายจะมีผู้คน นักท่องเที่ยวมากมายขึ้นอยู่มาก บวกกับปัญหาที่จอดรถ อีกอย่างจาก Lakeside Station ถึง Gembrook ก็ใช้เวลาบนรถไฟเพียงแค่ประมาณ 35 นาที ซึ่งเป็นเวลาที่กะลังพอดีไม่ทำให้เราเบื่อ ชื่นชมวิวสองข้างทางได้อย่างอิ่มเอมใจ หากใครที่ไม่ได้ซื้อตั๋วมาล่วงหน้า สามารถขอซื้อตั๋วกับคุณลุงผู้ดูแลรถไฟได้เรียกว่า Conductor คุณลุงน่ารักมากๆเลย สามารถจดจำรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติและพื้นที่แถวนั้นได้เป็นอย่างดี โชคดีที่ปีศาจน้อยได้นั่งตู้เดียวกับคุณลุงด้วยตอนขาไป เหมือนมีไกด์ส่วนตัวยังไงหยั่งงั้น
พอไปถึง Gembrook เขาก็จะมีการพักรถไฟประมาณหนึ่งชั่วโมง ก็ได้เวลาเราโต๋เต๋หาไรกิน แถวนั้นมีร้านคาเฟ่ Cafe 91 อยู่ เป็นร้านเล็กๆขายอาหารทั่วไปเหมือนตามคาเฟ่เค้าขายกัน แต่จะมีพวกขนมโฮมเมดเยอะ เมนูแนะนำคือ Cheesy Bruschetta และ Warm Chicken Salad โอ้แม่เจ้า ป้าทำได้อร่อยมาก กินเสร็จก็เดินกลับมาที่สถานีดูร้านกิ๊ฟช็อป มีของน่ารักๆเยอะเลย ปีศาจน้อยได้แก้วน้ำสังกะสีเคลือบมา คุณป้าใจดีเติมโกโก้ร้อนให้เอาไปกินบนรถไฟขากลับแบบไม่คิดตัง คุณลุงหัวหน้าผู้คุมก็เปิดโอกาสให้เราได้เข้าไปในห้องพิเศษถ่ายรูปอุปกรณ์ที่ใช้บนรถไฟในสมัยก่อน น่ารักกันมากๆเลยค่ะ
ขากลับคุณลุง Conductor พาปีศาจน้อยเข้าตู้พิเศษอยู่หัวขบวน เพราะวันนั้นอากาศหนาว ลมพัดแรง ตู้ที่คุณลุงพาไปนั่งมีประตูและกระจก เวลาเรานั่งจะเห็นวิวทั้งสองฝั่ง ซึ่งแตกต่างจากตู้ธรรมดาที่เราต้องเลือกดูฝั่งใดฝั่งหนึ่ง ขากลับมันช่างเร็วจัง ตอนถึงที่หมายสถานีต้นทาง Lakeside Station ได้มีโอกาสเข้าไปดูห้องเครื่อง หรือจะเรียกว่าห้องถ่านดี เพราะเค้าใช้ถ่านเป็นเชื้อเพลิงทำให้เกิดไอน้ำทำให้รถไฟเคลื่อนที่ คุณลุงคนขับบอกว่าถ่านนี้เป็นถ่านที่มีคุณภาพดีที่สุด มาจากควีนส์แลนด์ ว้าวๆ ขนมาจากเมืองเราเลยนะนี่
สนุกมากๆเลย ได้อิ่มเอมกับบรรยากาศธรรมชาติสบายๆ เหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในเมืองยุคโบราณนิดๆ ได้พบเจอคุณลุงคุณป้าใจดี ทุกคนเป็นอาสาสมัครกันทั้งนั้นแม้แต่คนขับเอง ซึ่งทุกคนทำงานกันด้วยใจ ไม่ผิดหวังจริงๆ
ขับจาก Lakeside Station ไปทานข้าวเย็นกันที่ Hargreaves Hill Brewing Company หมูกรอบที่อร่อยสุดที่เคยกินมาเลย หนังกรอบแบบว่าเอามีดจิ้มแล้วแตก ส่วนเนื้อก็แทบจะละลายในปาก เสิร์ฟมาพร้อมสลัดแอปเปิ้ลเขียว เข้าก๊านเข้ากัน เมนูปลาประจำวัน วันนั้นเจอปลาแซลมอนไป โอ้ อ้วนก็ยอมค่ะ เนื้อปลาเค้านุ่มมากเข้ากับหนังปลาที่กรอบ มาพร้อมสลัดผักหลากชนิด เป็นร้านอาหารฝรั่งที่ถือว่าอร่อยมากค่ะ
คืนนี้เราเลือกพักที่ Balgownie Estate Vineyard Resort & Spa วิวโรงแรมของเค้าจากห้องพักจะเห็นทุ่งหญ้า สวนไวน์ เนินเขาสลับกันไป สวยมากๆโดยเฉพาะตอนพระอาทิตย์ตก ที่รีสอร์ทนี้เค้ายังมี walking Trail ให้แขกได้เดินเล่นชมวิวกันอีกด้วย ปีศาจน้อยลองเบาๆค่ะ 200 เมตร แอบหอบนิดๆเพราะ 200 เมตรแบบชัน 35 องศาจากพื้นอ่ะนะ แต่พอได้เห็นวิวมันก็หายเหนื่อยเลย เป็นวิวมุมสูง กว้าง มองเห็นทุ่ง สวนองุ่น ท้องฟ้า แบบ 360 องศา เหมือนภาพวาดเลยอ่ะ
อิ่มเอมใจกับบรรยากาศธรรมชาติกันไปแล้ว เดี๋ยววันต่อไปเราจะไปดูกันว่าที่ Yarra Valley มีสถานที่และกิจกรรมอื่นๆอะไรที่น่าสนใจอีกบ้าง ต้องคอยติดตามกันในตอนหน้านะค่ะ...
